ครูใช้ถาดหลุมตีหัวเด็กอนุบาล 2 ครั้ง เพราะเล่นในแถวผวาจนไม่อยากไปเรียน

10 ก.ค. 65

ครูใช้ถาดหลุมตีหัวเด็กอนุบาลป่วยลมชักถูกจนผวาไม่อยากไปเรียนปู่ย่ากลัวผลข้างเคียงวอนอย่าทำโทษเด็กรุนแรง

 

(10 ก.ค.65) นายสามนต์  สุขประเสริฐ อายุ 60 ปี และนางรัญจวน สุขประเสริฐ อายุ 59 ปี สองสามีภรรยาชาว ต.หนองปล่อง อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นปู่และย่าของ ด.ช.เสกสรรค์ หรือน้องเปรม อายุ 5 ขวบ เรียนอยู่ชั้น อนุบาล 2 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.ชำนิ  ได้ออกมาเรียกร้องให้ครูในโรงเรียนปรับเปลี่ยนวิธีการทำโทษเด็กนักเรียน  หลังจากที่หลานถูกครูใช้ถาดหลุมอลูมิเนียมสำหรับใส่อาหารตีหัวหลาน  เมื่อประมาณ 3 – 4 วันที่ผ่านมา  ขณะหลานต่อแถวเดินไปรับประทานอาหารกลางวันพร้อมกับเพื่อนๆ จนหลานร้องไห้พอกลับมาถึงบ้านก็มีอาการปวดศรีษะหวาดผวาไม่อยากไปโรงเรียน   

 

เบื้องต้นปู่กับย่าก็ได้พาหลานไปหาหมอเพราะเกรงจะมีอาการข้างเคียง เพราะหลานป่วยเป็นโรคลมชักอยู่แล้ว หากมีอะไรไปกระทบกระเทือนหรือทำให้น้องเครียดโรคลมชักก็จะกำเริบ หลังเกิดเหตุจึงยังไม่กล้าให้หลานไปโรงเรียนเพราะยังมีอาการหวาดผวา    

 

โดยปู่และย่า เล่าให้ฟังว่า เมื่อวันพุธหรือพฤหัสบดีที่ผ่านมา หลังไปรับหลานกลับจากโรงเรียน หลานดูซึมผิดปกติแล้วใช้มือตบที่หัวตัวเอง  จึงถามหลานว่าเป็นอะไรหลานก็เล่าให้ฟังว่าถูกครูใช้ถาดหลุมตีหัว 2 ครั้ง โดยมีเพื่อนคนอื่นก็ถูกใช้ถาดตีหัวด้วย เพราะหยอกเล่นกันขณะเข้าแถวไปกินข้าว จึงได้โทรศัพท์ไปบอกแม่ของหลานซึ่งทำงานอยู่ต่างจังหวัด แม่ของน้องก็ตกใจและเป็นห่วงลูกมากเพราะปกติลูกก็ป่วยเป็นโรคลมชักอยู่แล้ว  

 

โดยผู้เป็นแม่ก็ได้สอบถามซ้ำอีกครั้งว่าครูใช้ถาดตีแบบไหนตีไปกี่ครั้ง ซึ่งน้องก็ยังยืนยันเหมือนเดิมว่าถูกครูใช้ถาดตีหัว 2 ครั้ง  ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานแต่ก็เชื่อว่าเด็กคงไม่โกหก ผู้เป็นแม่จึงบอกให้ปู่ย่าพาหลานไปหาหมอเพราะกลัวจะมีผลข้างเคียง เพราะหลานมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว แต่ก็ยังโล่งใจที่หมอบอกว่ายังไม่พบความผิดปกติอะไร แต่ที่กระทบคือสภาพจิตใจของหลาน เพราะหลานบอกว่าไม่อยากไปโรงเรียนกลัวครู    

 

ปู่ ย่า บอกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้อยากจะเอาผิดครู หรือทางโรงเรียน แค่อยากจะฝากให้ปรับเปลี่ยนวิธีการทำโทษเด็กหากเด็กดื้อหรือทำผิด ควรจะมีวิธีการทำโทษที่ไม่รุนแรงหรือไม่ใช่อวัยวะสำคัญโดยเฉพาะที่ศรีษะ เพราะหากเป็นอะไรขึ้นมาแล้วใครจะรับผิดชอบ จริงๆ ก็ไม่ได้อยากจะร้องเรียนหรือให้เป็นเรื่องใหญ่อะไร แต่แม่ของหลานเขาไม่สบายใจและกลัวว่าหากปล่อยผ่านไป  ลูกอาจจะโดนแบบนี้อีก ซึ่งก็เข้าใจว่าหลานอาจจะดื้อซนบ้างแต่เขายังเด็กก็ดื้อซนไปตามวัย ครูควรจะมีวิธีการดูแลจัดการเด็กที่ดีกว่านี้ ส่วนจะให้หลานเรียนต่อที่เดิมหรือไม่ก็ต้องปรึกษากับแม่น้องดูก่อน 

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส