พ่อสันติไม่เชื่อลูกเนรคุณฆ่าเพื่อนต่อสายเคลียร์ญาติมี่ เพื่อนแฉกุเรื่องเชิดเงินล้าน (คลิป)

15 มิ.ย. 65

ความคืบหน้าคดีฆาตกรรมโหดที่ไต้หวัน หลังผู้ก่อเหตุซึ่งเป็นคนไทย คาดว่าจะเป็น "นายสันติ" ซึ่งเป็นเพื่อนกับทางผู้ตาย "นางมี่" หรือ น.ส.พจนีย์ แซ่หลี่ อายุ 35 ปี และรู้จักกับทาง "มาร์ค" นายประเสริฐ โนราษ อายุ 32 ปี สามีของนางลี่ที่เสียชีวิตเช่นกัน

574955

วันที่ 14 มิ.ย. 65 ทีมข่าวอมรินทร์ลงพื้นที่หมู่ 10 บ้านใหม่หนองบัว ต.หนองบัว อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ ตั้งแต่เวลา 09.00 น. สื่อมวลชนหลายสำนักเดินทางไปยังบ้านของนายสันติ ผู้ต้องหา นายสุชาติ สุภอภิรดีไพลีน อายุ 63 ปี พ่อผู้ต้องหา บอกความคืบหน้ากับสื่อยืนยันว่าตั้งแต่ลูกชายหายตัวไปยังไม่สามารถติดต่อได้ รวมถึงลูกสะใภ้ที่อยู่ใต้หวันด้วย พร้อมโทรผ่านทาง we chat ให้ทีมข่าวดูเพื่อเป็นการยืนยัน โทร.ติดแต่ไม่มีคนรับสาย และตนก็ไม่มีเบอร์โทร.ในไทยของลูกชายด้วย

195467

ขณะเดียวกันก็เปิดห้องนอนที่ลูกชายกลับมาแล้วเข้าไปนอนกับหลานให้สื่อดูด้วย พบว่าภายในห้องไม่มีอะไรผิดปกติ ภายในตู้เสื้อผ้าส่วนใหญ่ก็จะเป็นเสื้อผ้าของหลาน ที่เตียง ลิ้นชัก และโต๊ะเครื่องแป้งก็ไม่มีร่องรอยของนายสันติ สำหรับตอนที่ลูกชายมาถึงบ้าน สิ่งที่พกติดตัวมามีแค่กระเป๋าสะพายข้างขนาดเล็ก 1 ใบ น่าจะมีเสื้อผ้าแค่ 1-2 ชุด ปัจจุบันกระเป๋าสะพายข้างนั้นก็หายไปพร้อมกับลูกชายด้วย ตนก็ยังงงว่าลูกชายเดินทางไปอย่างไร เพราะรถทุกคันของตนยังอยู่ที่บ้าน ลูกชายไม่มีรถเป็นของตัวเองในไทย

604923

ทั้งนี้ ถ้าถามว่าตนเชื่อไหมว่าลูกชายเป็นผู้ก่อเหตุ ตนก็ยังยืนยันคำเดิมว่าไม่เชื่อ เพราะผู้ตายทั้ง 2 คน รวมถึงครอบครัวเขามีบุญคุณกับลูกชายมาก เลี้ยงดูปูเสื่อเป็นอย่างดี แต่ไม่ได้หมายความว่าลูกชายจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะตรงนั้นหลักฐานจากกล้องวงจรปิดมันชี้ชัด แค่สงสัยด้วยความรู้สึกว่าลูกชายน่าจะโดนบีบบังคับให้ทำหรือเปล่า จึงอยากบอกลูกชายอีกครั้งว่าให้รีบกลับมามอบตัว และพูดความจริงทั้งหมด อย่างน้อยก็นึกถึงหัวอกพ่อแม่ที่จะได้เบาใจลงบ้าง เพราะตอนนี้แม่เครียดมาก จนลุกจากเตียงไม่ขึ้น

707517

ส่วนความรู้สึกหากสุดท้ายแล้วลูกชายเป็นคนลงมือทำจริง ไม่ว่าจะด้วยปมสาเหตุใดก็แล้วแต่ ตนยอมรับว่าผิดหวังในตัวลูกมาก ไม่อยากจะเชื่อว่าลูกจะกล้าทำ เพราะความสนิทระหว่างลูกชายกับนางสาวพจนีย์ ผู้ตาย สนิทกันมาก พูดเปรียบเทียบก็แทบจะใส่กางเกงตัวเดียวกันก็ว่าได้ ขนาดที่ว่าแม่ของนางสาวพจนีย์เคยบอกกับตนว่า "อยู่เมืองไทย สันติเป็นลูกชายเธอ แต่มาใต้หวัน สันติเป็นลูกชายฉันนะ" ดังนั้นถ้าลูกทำผิดจริงและได้รับบทลงโทษจากกฎหมายของไต้หวันซึ่งค่อนข้างรุนแรง ตนก็ไม่ได้รู้สึกกังวงล

279739

ส่วนความเป็นไปได้ในสถานที่ที่ลูกชายน่าจะหลบหนีไป ไม่รู้เลยจริง ๆ เพราะตนอยู่ที่นี่มาก็นาน ไม่เห็นว่าจะมีเส้นทางไหนที่สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้โดยไม่ผ่านด่าน เชื่อว่าลูกชายก็ไม่ได้มีเพื่อนหรือที่พักที่ประเทศอื่น นอกจากประเทศไทยและไต้หวันมาก่อน

985110722570

ด้านนางสาวสิริพร แซ่หลี่ อายุ 30 ปี น้องสาวของนางสาวพจนีย์ ผู้เสียชีวิต ให้ขอมูลว่าปกติแล้วตนกับพี่สาวจะไม่ได้คุยโทรศัพท์กันเท่าไร เพราะพี่สาวชอบโพสต์เฟซบุ๊ก ตนก็จะอัปเดตกันผ่านโพสต์ของพี่สาว อย่างล่าสุดที่ได้คุยกันผ่านแชต ส่วนตนได้แชตคุยกับนายสันติ เขาเป็นเหมือนพี่ชายแท้ ๆ เวลาที่เครียดหรือมีปัญหาชีวิตก็จะปรึกษากับเขา และได้คุยกันผ่านแชตเช่นกัน

117861

นายได๋ (นามสมมติ) เพื่อนในหมู่บ้านของนายสันติ เป็นเพื่อนของนางสาวพจนีย์ผู้เสียชีวิตด้วย เล่าว่า จริงแล้วเรื่องอื่นทั่วไปของ นายสันติดีหมด นิสัยใจคออารมณ์ต่าง ๆ ดี คุยเก่ง ไม่เคยแสดงพฤติกรรมโหดเหี้ยม แต่มีอยู่เรื่องเดียวที่ไว้ใจไม่ได้ คือเรื่องเงิน เพราะเมื่อประมาณ 4 ปีก่อน ก่อนที่จะมีสถานการณ์โควิด-19 นายสันติยังอยู่ที่ไทยและเคยไปยืมเงินของนางสาวพจนีย์ 1 ล้านกว่าบาท เพราะนางสาวพจนีย์ทำธุรกิจปล่อยเงินกู้ เป็นการโอนเงินสดเข้าบัญชี เพื่อลงทุนธุรกิจทัวร์ที่ จ.เชียงใหม่

พอถึงกำหนดคืนเงิน ช่วงที่นางสาวพจนีย์กลับมาเยี่ยมบ้านที่ไทยพอดี นายสันติก็ได้คืนเงินให้ในรูปแบบเป็นเช็คเงินสด แต่เมื่อนางสาวพจนีย์นำเช็คไปขึ้นเงิน เป็นเช็คเด้ง เงินในบัญชีไม่พอกับจำนวนที่ระบุในเช็ค ตอนนั้นนายสันติอ้างกับนางสาวพจนีย์ว่าสาเหตุที่เช็คเด้งเพราะตนไปยืมเงินเขาเป็นจำนวน 400,000 บาท แต่ยังไม่ยอมคืน นายสันติยังอ้างต่ออีกว่าเขาจึงไปยึดรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบก์ของตนมาไว้ที่บ้าน

เมื่อนางสาวพจนีย์มาถามความจริงกับตน ตนจึงเล่าความจริงทั้งหมด ว่าไม่เคยยืมเงินจากนายสันติเลยสักบาท ส่วนรถบิ๊กไบก์คันนั้นที่ไปจอดอยู่ที่บ้านนายสันติ มาจากการที่นายสันติยืมไปขับเล่นแล้วไปจอดไว้ที่บ้านเขา ตอนที่เขาเอารถไปจอด ตนก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนที่สนิทกันตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ ตนกับนายสันติจึงไม่ถูกกันอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ด้วยความที่เป็นเพื่อนบ้านกัน ก็เจอกัน พูดคัยกันบ้าง จนกระทั่งเขาไปทำงานที่ไต้หวัน ตนก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย

นอกจากนี้ก่อนที่จะมีปัญหากับนายสันติ เขาเคยมาชวนร่วมลงทุนทำธุรกิจหลายอย่างมาก ทั้งโรงงานเยลลี่ โรงงานยางพารา บริษัททัวร์ ร้านอาหาร แต่ตนปฏิเสธไปทั้งหมด เพราะทราบมาว่าก่อนหน้านี้มีเพื่อนเขาเคยร่วมลงทุนกับนายสันติ แต่สุดท้ายธุรกิจไปไม่รอด สูญเงินไปกว่า 300,000 บาท จึงไม่กล้าร่วมลงทุน

ส่วนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนขอไม่แตะประเด็นที่ว่าใครเป้าคนฆ่าทั้ง 2 ศพ แต่แอบแปลกใจอย่างหนึ่งว่าทำไมนางสาวพจนีย์ถึงไว้ใจนายสันติมากถึงขั้นให้เดินเข้าออกบ้านที่ไต้หวันเหมือนคนในครอบครัว เพราะฉะนั้นถ้านายสันติเป็นคนลงมือทำจริง ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องผลประโยชน์ทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทา เพราะทั้งผู้ตายและนายสันติก็พัวพันอยู่กับธุรกิจสีเทามาเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการปล่อยเงินกู้ และถ้านายสันติมีปัญหาเรื่องเงิน 800,000 บาทกับทองจำนวนที่เป็นข่าวจริง แต่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจสีเทา เชื่อว่าพ่อเขาสามารถซัพพอร์ตได้อยู่แล้ว เว้นแต่มันจะเกี่ยวก็เท่านั้น เพราะพ่อเขาไม่ยุ่งกับธุรกิจสีเทาอยู่แล้ว

สุดท้ายในฐานะเพื่อนคนหนึ่งของนายสันติก็อยากจะให้ออกมาพูดความจริง เพราะถ้าถามกันตรง ๆ ตนก็ไม่อยากจะเชื่อว่านายสันติจะเป็นคนลงมือฆ่า

905119

ทีมข่าวก็เดินทางมายังโรงเรียนที่นายสุชาติบอกว่าเช้าของวันที่ 10 มิ.ย.65 เดินทางมาส่งลูกชายคนโตวัย 6 ขวบที่โรงเรียน ซึ่งจากที่ทีมข่าวและคุณครูเวรประจำวันดังกล่าวร่วมกันนั่งตรวจสอบกล้อง ตั้งแต่เวลา 06.00 น. ที่โรงเรียนเปิด ถึงเวลา 08.30 น. ที่โรงเรียนปิดประตู ก็ไม่พบว่านายสันติขับรถเข้ามาส่งลูกภายในโรงเรียน

ว่าที่ร้อยตรีนรากร ณ น่าน อายุ 32 ปี ครูเวรประจำวันที่ 10 มิ.ย. 65 หลังตรวจสอบกล้อง บอกว่าวันนั้นไม่คุ้นตาเลยว่าจะมีผู้ปกครองรูปร่างใหญ่คล้ายนายสันติมา และตลอดการทำงานที่นี่มา 8 ปี ตนไม่คุ้นหน้าของนายสันติ แต่พอรู้จักนายสุชาติ พ่อของเขาอยู่บ้าง ถ้าลูกชายของนายสันติเรียน ป.1 ที่นี่จริง ก็อาจจะเป็นไปได้ว่านายสันติอาจจะจอดส่งลูกที่ริมถนนหน้าโรงเรียน บริเวณนั้นไม่มีกล้องวงจรปิด แต่เท่าที่ตรวจสอบนามสกุลของนายสันติ คาดว่าลูกชายน่าจะใช้นามสกุลเดียวกัน ก็ไม่พบในบัญชีรายชื่อของนักเรียนชั้น ป.1 ทั้ง 3 ห้อง และจากการสอบถามคุณครูระดับชั้น ป.1 ถึงชื่อเล่นของลูกชายนายสันติว่ามีชื่อนี้บ้างไหม พบว่าครูทุกคนไม่รู้จักชื่อนี้

820593

และทีมข่าวทราบมาว่าหลังเกิดเหตุ นายสุชาติยังไม่มีโอกาสได้คุยกับครอบครัวของนางสาวพจนีย์เลยสักครั้ง เนื่องจากไม่กล้าติดต่อไป ทีมข่าวจึงโทรไปถามความสมัครใจของนางกวนยิง อายุ 68 ปี แม่ของนางสาวพจนีย์ที่อยู่ไต้หวัน ว่าอยากคุยกับนายสุชาติหรือไม่ พร้อมกับถามนายสุชาติว่าอยากคุยหรือไม่ ทั้งคู่ตกลงที่จะคุยกัน เป็นการสื่อสารด้วยภาษาจีน เพื่อสะดวกต่อความเข้าใจของทั้งคู่ ซึ่งคุยกันกว่า 10 นาที ทั้งเคร่งเครียดและผ่อนคลาย

372721

หลังจากคุยเสร็จ นายสุชาติ สุภอภิรดีไพลีน อายุ 63 ปี พ่อผู้ต้องหา บอกว่าสิ่งหนึ่งที่นางกวงยิงติดใจคือหลังจากตนทราบว่าลูกชายตกเป็นผู้ต้องสงสัย ทำไมตนถึงไม่ติดต่อไปพูดคุยอะไรบ้าง ทั้งที่มีช่องทางติดต่อกันอยู่ และเมื่อ 2-3 เดือนก่อนก็ยังโทร.คุยถามไถ่กัน ซึ่งประเด็นนี้ตนก็ตอบไปว่าตัวเองไม่มีความกล้ามากพอจริง ๆ เพราะด้วยความสนิทที่มีด้วยกันมาก เข้าใจว่าหัวอกของคนที่ต้องสูญเสียเป็นอย่างไร จึงไม่รู้จะเริ่มต้นพูดอย่างไรดี

715774

เท่าที่คุยกัน นางกวงยีบอกว่าเขาสามารถแยกแยะได้ ความรู้สึกที่มองลูกชายตนเป็นลูกคนหนึ่งก็ยังคงอยู่ ไม่ได้แปลเปลี่ยน ไม่ได้โกรธเกลียดตน เพราะมีความสัมพันธ์อันดีกันมาก่อน แค่รู้สึกติดใจที่ไม่มีการติดต่อจากตนไป เขามองว่าการติดต่อไปครั้งนี้มันสายเกินไปที่จะให้อภัยลูกชายตนได้ ตนจึงทำได้แค่กล่าวคำขอโทษจากใจจริงไป

ทั้งนี้ นางกวงยิงยังถามตนอีกว่าจะทำอย่างไรต่อกับเรื่องนี้ ตนจึงบอกไปว่าตอนนี้ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ ส่วนเรื่องการสูญเสีย หากเป็นไปได้ตนก็อยากจะเดินทางกราบขอขมาศพของผู้ตายทั้ง 2 คนที่ไต้หวัน แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำไม่ได้ จึงบอกไปว่าหากกลับมาที่ไทย ตนจะเดินทางไปกราบขมาถึงที่บ้านทันที แต่นางกวงยิงไม่ได้ตอบว่าจะยินดีหรือไม่ แล้วตัดสายไป

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ทุบโต๊ะข่าว เป็นกระแส