วันที่ 8 มิ.ย. 65 เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.เลียบทางรถไฟ ได้นัดฟังคำพิพากษา คดีอาญาหมายเลขดำที่ อท.180/2564 ที่อัยการฝ่ายคดีอาญาทุจริต3 เป็นโจทก์ฟ้อง พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือผกก.โจ้ อดีตผกก. สภ.เมืองนครสวรค์, พ.ต.ต.รวีโรจน์ ดิษทอง สว.สส., ร.ต.อ.ทรงยศ คล้ายนาค รอง สวป., ร.ต.ท.ธรณินทร์ มาศวรรณา รอง สวป., ด.ต.วิสุทธิ์ บุญเขียว ผบ.หมู่ ป., ด.ต.ศุภากร นิ่มชื่น ผบ.หมู่ ป. และส.ต.ต.ปวีณ์กร คำมาเร็ว ผขบ.หมู่ ป. เป็นจำเลยที่ 1-7
กรณีร่วมกับพวกใช้ถุงดำคลุมศีรษะ นายจิระพงษ์ หรือ มาวิน ธนะพัฒน์ ผู้ต้องหาคดียาเสพติดถึงแก่ความตาย ในฐานความผิด 4 ข้อหา โดยสืบเนื่องจากนายจิระพงษ์ หรือ มาวิน ธนะพัฒน์ ผู้เสียชีวิต ซึ่งถูกจับและควบคุมไว้ในคดียาเสพติดและถูกฆ่าถึงแก่ความตายขณะอยู่ในความความควบคุมของเจ้าพนักงาน เมื่อช่วงระหว่างวันที่ 4-6 ส.ค. 64 ที่ สภ.เมืองนครสวรรค์
โดยศาลพิพากษา จำเลยที่ 1-5 และ 7 ได้มีการกระทำความผิดตามฟ้อง เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษทุกกระทงความผิด ซึ่งให้ลงโทษมาตรา 289(5) ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและกระทำด้วยการทรมานทารุณโหดร้ายฯ ซึ่งเป็นความผิดหนักที่สุด ตามมาตรา 90 ลงโทษประหารชีวิต
ส่วน ด.ต.ศุภากร นิ่มชื่น จำเลยที่ 6 มีความผิดตามมาตรา 157 ละเว้นหรือปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ร่วมกันข่มขืนใจให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการใด ให้ลงโทษ จำคุก 8 ปี แต่จำเลยทั้ง 7 คน ให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา และมีการให้เงินค่าปรงศพเป็นจำนวนเงิน 30,000 บาท เพื่อบรรเทาผลร้ายให้พ่อแม่ผู้เสียชีวิต คนละ 300,000 บาท มีการช่วยปฐมพยาบาลและนำส่งไปโรงพยาบาล จนกู้สัญญานชีพกลับมาได้แม้จะเสียชีวิตในเวลาต่อมา จึงลดโทษให้จำเลยคนละ 1 ใน 3 คงจำคุกตลอดชีวิต ส่วน ด.ต.ศุภากร จำเลยที่ 6 คงจำคุก 5 ปี 4 เดือน ส่วนข้อหาและคำร้องอื่นให้ยก
เวลาประมาณ 12.00 น. ร.ต.จักรกฤษณ์ กลั่นดี พ่อของนายจิระพงษ์ ผู้เสียชีวิต กล่าวหลังศาลฯ อ่านคำพิพากษาว่า ตนพอใจกับคำตัดสินของศาลฯ เพราะข้อหาชัดเจนและอธิบายข้อกฎหมาย และบทลงโทษอย่างชัดเจน แม้จะไม่ใช่โทษประหารชีวิต แต่ครอบครัวต่อสู้คดีมาตลอดเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งได้ทำอย่างเต็มที่ แม้ฝ่ายผู้ต้องหาจะอ้างว่าปฏิบัติตามหน้าที่และไม่ได้ตั้งใจไม่ได้มีเจตนาจะทำให้ลูกชายเสียชีวิ
ในตอนแรกที่ลูกชายเสียชีวิตแล้ว ตนยังไม่เห็นคลิปจากกล้องวงจรปิด ที่ผู้กำกับโจ้และจำเลยทั้งหมดว่าเป็นการรุมทำร้าย และมีการใช้ถุงพลาสติกครอบหัว ตนก็ยังพูดคุยกับตัวเองตามปกติเหมือนไม่ได้กระทำความผิดอะไร เข้าใจว่าลูกชายเสียชีวิตเพราะยาเสพติดเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะผู้กำกับโจ้ที่เข้ามาสวมกอดแสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตของลูกชาย ตอนนั้นตนถูกสังคมด่าว่าเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่อง จนกระทั่งมาเห็นคลิปในภายหลังก็ทำให้รู้สึกโกรธและเสียใจ ซึ่งก็ยังคิดว่าเขาไม่น่าทำรุนแรงและใจร้ายกับลูกเราขนาดนั้น
โดยระหว่างที่ฟังคำพิพากษาอ่านพฤติการณ์ของจำเลยที่หนึ่ง ตนรับรู้ได้ว่าช่วงเวลานั้นลูกชายต้องทุกข์ทรมานอย่างมากเพราะโดนถุงพลาสติกคลุมหัวถึง 7 ชั้น มีการมัดแขน มัดขา และรุมทำร้ายร่างกาย ลูกตนร้องขอชีวิตก็ไม่มีใครเลยสักคนจะกล้าห้าม และช่วยชีวิตลูกไว้ ความรู้สึกที่แย่ ๆ ของคนเป็นพ่อแม่ เห็นลูกตายอย่างทุกข์ทรมาน มันก็ยังคงฝังอยู่ในหัวใจ ผู้สื่อข่าวถามว่าจะอโหสิกรรมให้หรือไม่นั้น ตนก็ไม่ขอตอบ ขอให้พวกเขาทุกคนได้รับกรรมที่ตัวเองก่อไว้
ส่วนกรณีการยื่นคำร้องขอส่วนแพ่งให้จำเลยที่ 1-7 ชดใช้สินไหมทดแทนเป็นเงิน 1.55 ล้านบาท ระบุว่าหน่วยงานของรัฐต้องรับผิดชอบต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดของเจ้าหน้าที่ของตน ผู้เสียหายจึงอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐได้โดยตรงแต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้ จึงพิพากษายกคำร้อง ซึ่งหลังจากนี้ก็จะปรึกษาทนายความเพื่อพิจารณาเรียกค่าสินไหมทดแทนเพิ่ม
ทีมข่าวพบกับ นายอารักษ์ (นามสมมติ) หนึ่งในผู้เสียหาย ซึ่งเคยถูกชุดปราบปราบยาเสพติด ชุด 05 ของผู้กำกับโจ้รีดไถเงินไปจำนวน 30,000 บาท เดือนกรกฎาคมปี 2564 เล่าว่า หลังตนเองถูกชุด 05 จับกุมในคดีเกี่ยวกับยาเสพติด ขณะนั้นตนเองก็ถูกทีมของผู้กำกับโจ้ พาตัวไปภายในห้อง 05 เพื่อรีดเงิน ตนเองยังจำได้แม่นว่าตอนนั้นลูกน้องผู้กำกับโจ้ให้ตนเองนอนห้องขัง 3 วัน 2 คืน และเรียกเงินกับตนเองจำนวน 60,000 บาท ชุดจับกุมอ้างว่า "ผู้กำกับจะเอา นายเรียกมา" ต่อมาตนเองจึงขอต่อรอง และจบที่ 30,000 บาท ญาติตนเองเป็นผู้นำเงินสดใส่ซองให้ภายในห้อง 05 ตอนนั้นตนเองยอมจ่ายเพื่อแลกกับอิสรภาพและไม่ต้องติดคุก
นายอารักษ์ บอกว่า หลังจากตนเองทราบข่าววันนี้ว่าผู้กำกับโจ้และทีมถูกโทษจำคุกตลอดชีวิต ตนเองไม่ได้รู้สึกแปลกใจ และตนเองรู้อยู่แล้วว่าผลมันต้องออกมาเป็นแบบนี้ เพราะเขาเป็นผู้รักษากฎหมาย เขาทำผิดร้ายแรงก็ต้องโดนโทษหนักเป็นธรรมดา ถึงจะถูกตัดสินประหารชีวิตก็ต้องลดโทษ เป็นจำคุกตลอดชีวิต ตนเองก็พอใจที่ผู้กำกับโจ้ได้รับโทษหนัก แต่ตนเองไม่รู้ว่า ครอบครัวของนายมาวิน ซึ่งเป็นผู้สูญเสียจะพอใจหรือไม่ เพราะชีวิตที่เสียไปมันเรียกคืนมาไม่ได้อีกแล้ว แต่ตนเองก็เชื่อว่าสิ่งที่ผู้กำกับโจ้และลูกน้องได้ทำไว้ เวรกรรมกำลังทำงานอยู่ และพวกเขากำลังได้รับผลกรรมที่ก่อไว้
ส่วนเรื่องโทษที่ผู้กำกับโจ้ และพวกถูกจำคุกตลอดชีวิต ตนเองคิดว่าเรื่องนี้ผู้กำกับโจ้รู้ดีอยู่แล้วว่าต้องทำอย่างไรถึงจะได้ออกมาไว ต้องต่อสู้ยังไง เพราะเขารู้กฎหมายดี ขนาดโทษที่เขาไปจับคนอื่นเขายังรู้หมดเลยว่ากี่ปี แล้วโทษเขาเองเขาก็ต้องรู้อยู่แล้ว เพียงแต่ต้องรอเวลาเท่านั้น และตนเองเชื่อว่าอีกไม่นานผู้กำกับโจ้และลูกน้องก็ออกมา ตนเองให้ไม่เกิน 25 ปี ตนเองอยากให้คดีนี้เป็นคดีตัวอย่างไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกกับใคร ตนเองเชื่อตำรวจดีก็มีมากตำรวจไม่ดีก็มี แต่ส่วนน้อย ไม่อยากให้ตำรวจซึ่งเป็นผู้รักษากฎหมายใช้อำนาจในการทำผิดเอง
ทีมข่าวยังได้เดินทางไปที่บ้านของดาบตำรวจวิสุทธิ์ บุญเขียว หรือ ดาบโบ้ หนึ่งในทีมผู้กำกับโจ้ ที่ถูกศาลพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งในคลิปวงจรปิดจะเห็นดาบโบ้ เข้าไปช่วยล็อกตัวผู้ต้องหา และเป็นคนส่งถุงดำให้ผู้กำกับโจ้คลุมหัวผู้ต้องหา
วันนี้พบว่าดาบโบ้เคยพักอาศัยภายในบ้านพักของตำรวจ หลังตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์ แต่ตอนนี้บ้านถูกปิดเงียบ ถูกปล่อยทิ้งร้างตั้งแต่หลังเกิดเหตุ บริเวณหน้าบ้านมีจดหมายคำสั่งของตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์ ให้ส่งคืนบ้านพักของทางราชการคืน เนื่องจาก ดาบโบ้ เป็น 1 ใน 6 ที่ร่วมกับผู้กำกับโจ้ก่อเหตุ และถูกให้ออกจากราชการ จึงไม่สามารถอยู่ต่อไปได้
เพื่อนบ้านดาบโบ้ ให้ข้อมูลว่าพวกตนเองเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ใหม่หลังจากเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ส่วนตัวไม่เคยพูดคุยรู้จักสนิทสนมกับดาบโบ้เท่าไรนัก รู้เพียงว่าหลังเกิดเรื่องครอบครัวดาบโบ้ ยังไม่เคยเข้ามาขนข้าวของย้ายออกไปเลย ถึงแม้จะมีจดหมายระบุให้ญาติมาย้ายออกตั้งนานแล้วก็ตาม ส่วนประเด็นเรื่องการค้ำประกันสหกรณ์ตำรวจ ตำรวจทั้ง 6 คน ที่ร่วมกับผู้กำกับโจ้ก่อเหตุ ใครเป็นคนเซ็นค้ำให้ใครบ้างตนเองไม่ทราบ รู้เพียงว่าส่วนใหญ่พวกเขาจะต่างคนต่างเซ็นค้ำให้กันเอง โดย 1 คน จะต้องมีผู้ค้ำทั้งหมด 5 คน ในวงเงิน 2 ล้าน หากมีการกู้สหกรณ์ 6 คน ก็ต้องมีผู้ค้ำ 30 คน ซึ่งแน่นอนว่าหลังเกิดเรื่องขึ้น ตำรวจ 6 คน ติดคุก ผู้ค้ำก็จะต้องเดือดร้อนไปด้วย และต้องมาจ่ายหนี้ให้แทน
ซึ่งเท่าที่รู้มาหลังเกิดเรื่อง ได้มีคำสั่งให้ผู้ค้ำทั้งหมดสามารถทยอยจ่ายหนี้ได้ โดยจะเรียกเก็บคนละ 1,000 บาทต่อเดือน ทยอยชำระหนี้ไปเรื่อยๆ ใน 1 คน มี 5 คนค้ำ ก็ 5,000 ต่อเดือน เป็นการช่วยเหลือคนค้ำที่เดือดร้อนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ล่าสุดทีมข่าวโทรศัพท์พูดคุยกับ นางแพรว (นามสมมติ) ในภรรยาของหนึ่งในผู้ต้องหา เปิดใจกับทีมข่าวว่า วันนี้ตนเองได้เดินทางไปศาลเพื่อฟังคำพิพากษาแล้ว ก็ได้แต่ทำใจยอมรับ ตนเองนั้นหลังจากที่สามีถูกจับเวลาผ่านไปกว่า 10 เดือน ตนเองเดือดร้อนและลำบากมาก สภาพชีวิตหลังจากสามีถูกคำสั่งให้ออกจากราชการ และสามารถต้องติดคุก เพราะทำตามคำสั่งของผู้กำกับโจ้ สภาพชีวิตแย่ลงมาก เพราะสามีถือเป็นหัวหน้าครอบครัวในการหาเงินเข้าบ้าน
เมื่อสามีถูกจับ ตนเองต้องเป็นคนแบกรับภาระหนี้สินทั้งหมดแทน ลูกก็ต้องเรียนหนังสือ ไหนจะค่าบ้าน ค่ารถ ตอนนี้ตนเองแทบจะไม่เหลือเงินจ่ายหนี้สินแล้ว ซึ่งผลของการทำตามคำสั่งเจ้านาย กลับถูกคดีตามไปด้วย และครอบครัวตนเองไม่เคยได้รับการเยียวยาจากฝั่งตำรวจ หรือผู้กำกับโจ้ ที่เป็นหัวหน้าทีมเลย สามีตนเองเป็นเพียงลูกน้อง ใครจะไปกล้าขัดคำสั่งนาย แต่กลับมาต้องถูกดำเนินคดีไปด้วย
วันนี้ทีมข่าวได้เดินทางกลับไปที่ห้องทำงานของชุดปราบปรามยาเสพติด ที่เรียกอีกชื่อว่า “บ้านกาแฟ” ที่ สภ.เมืองนครสวรรค์อีกครั้ง ซึ่งห้องดังกล่าว เป็นห้องที่ผู้กำกับโจ้พร้อมลูกน้อง ลงมือซ้อมและเอาถุงดำคลุมหัวนายมาวินจนเสียชีวิต โดยวันนี้เมื่อทีมข่าวไปถึงพบว่า ห้องดังกล่าวถูกปิดไม่ได้ให้ใครเข้าไปใช้งานแล้ว จากที่เคยเป็นห้องทำงานของตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด ก็ถูกเปลี่ยนเป็น ห้องประชุมบางครั้งคราว และถูกให้ปิดตายไม่ได้ใช้ในการปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่ชุดปราบปรามยาเสพติดแล้ว นอกจากนี้ยังพบว่า ห้องดังกล่าว ได้ถูกทาสีใหม่ จากสีเหลือง เป็นสีเทาอีกด้วย
ทีมข่าวยังได้เดินสำรวจภายในโรงพัก สภ.เมืองนครสวรรค์ ซึ่งหลังเกิดเรื่องเมื่อ 5 ส.ค. ที่นายจิระพงษ์ ถูกซ้อมและเอาถุงดำคลุมหัวเสียชีวิต ผู้กำกับโจ้ มีการทำบุญครั้งใหญ่ในโรง ประมาณวันที่ 7-8 ส.ค. หลังเกิดเหตุ วันนี้ทีมข่าวย้อนกลับไปดูบริเวณชั้น 3 ของโรงพัก ซึ่งเคยเป็นห้องทำงานของผู้กำกับโจ้ หลังผ่านไปเกือบ 1 ปี พบว่าสายสิจน์ที่ตำรวจเคยนำมาโยงผูกทั่วชั้น 3 วันนี้ได้ถูกเอาออกแล้ว
นอกจากนี้ ทีมข่าวยังได้เดินสำรวจภายในห้องน้ำของโรงพัก ซึ่งสมัยที่ผู้กำกับโจ้ เป็นผู้กำกับ สภ.เมืองนครสวรรค์ ได้สั่งปูกระเบื้องและทำห้องน้ำใหม่ และจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาด เพราะผู้กำกับโจ้ต้องการให้คนที่เข้ามาใช้บริการที่โรงพักประทับใจห้องน้ำ ซึ่งห้องน้ำ สภ.เมืองนครสวรรค์ ก็ยังคงเป็นห้องน้ำที่สะอาดมากเหมือนเดิม ซึ่งเป็นผลงานของผู้กำกับโจ้ที่ได้ทำทิ้งไว้ก่อนจะเกิดเรื่อง
