ทีมข่าวอมรินทร์ทีวีได้รับเรื่องร้องเรียนมาจาก นายช้อย เจแสง อายุ 67 ปี ส.ท.เทศบาลตำบลห้วยกรดพัฒนา เนื่องจากถูกนางสาวนก หลอกว่าเดือดร้อน ถูกสรรพากรเรียกภาษีย้อนหลัง จึงได้เข้าช่วยเหลือ โดยไม่มีการเซ็นสัญญาการกู้ยืมเงิน ซึ่งฝ่ายหญิงพลัดการคืนเงินออกไปเรื่อย ๆ รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 2 ล้านบาท
วันที่ 25 พฤษภาคม 2565 ทีมข่าวอมรินทร์ทีวีได้เดินทางมาพบ นายช้อย เจแสง อายุ 67 ปี ส.ท.เทศบาลตำบลห้วยกรดพัฒนา ผู้เสียหาย ที่จังหวัดชัยนาท เล่าว่า ตนเคยซื้อรถมืองสองมาจากเต็นท์รถมือสอง เมื่อประมาณปี 2563 ซึ่งขณะนั้นนางสาวนก เป็นภรรยากับเจ้าของเต็นท์
ต่อมาเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2565 นางสาวนกได้ติดต่อมาหาตน เนื่องจากตนยังค้างค่ามัดจำรถจำนวน 3,000 บาท ตนจึงโอนเงินไปให้ ซึ่งนางสาวนกได้เริ่มเล่าปัญหาส่วนตัวให้ฟัง เช่น พ่อถูกรถชนขาหัก จากนั้นในวันที่ 1 เมษายน นางสาวนกได้ติดต่อมาหาตน โดยอีกฝ่ายได้ขอความช่วยเหลือจากตน อยากให้ตนไปช่วยขนของให้ที่บ้าน แต่ตนเริ่มไม่สะดวกและเริ่มเอะใจ เนื่องจากตนไม่รู้จักกับอีกฝ่ายเป็นการส่วนตัว แต่อีกฝ่ายก็ได้ขับรถมาหาตนที่วัดใกล้บ้าน คะยั้นคะยอให้ตนไปช่วยขนของให้ได้ แต่ตนก็ได้ปฏิเสธ
จากนั้นต้นเดือนเมษายน นางสาวนกพร้อมชายคนหนึ่งที่อีกฝ่ายอ้างว่าเป็นพ่อ ก็ได้เดินทางมาตนอีกครั้ง โดยพ่อของนางสาวนกทิ้งตัวลงกับพื้น ทำหน้าตาเศร้า พร้อมบ่นให้ตนฟังว่าเดือดร้อนเรื่องเงิน เนื่องจากขณะที่นางสาวนกทำเต็นท์รถกับสามีเก่า นางสาวนกไม่เคยจ่ายภาษี ทำให้ขณะนี้กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง โดยได้ยึดทรัพย์สินไปจำนวน 28 ล้านบาท อีกฝ่ายจึงอยากจะขอยืมเงินตนไปจ่ายภาษี เพื่อไถ่ถอนทรัพย์สินคืน โดยหากไถ่ถอนทรัพย์สินคืนได้สำเร็จ จะคืนเงินให้ในวันที่ 26 พฤษภาคม 2565
ตนได้ปฏิเสธนางสาวนกและพ่อของนางสาวนกไป โดยตนอ้างกับอีกฝ่ายว่าตนไม่มีเงิน แต่นางสาวนกก็ยังคงติดต่อมาขอความช่วยเหลือตนอยู่เรื่อย ๆ ในวันที่ 11 เมษายน นางสาวนกได้เสนอขายพระให้ตน แต่ตนยังคงไม่สนใจและปฏิเสธ จนสุดท้ายตนใจอ่อน ตนได้โอนเงินก้อนแรกให้นางสาวนกจำนวน 20,000 บาท จากนั้นตนก็โอนเงินให้นางสาวนกอีกหลายครั้ง โดยฝากร้านค้าช่วยโอนเงินให้
ต่อมาวันที่ 22 เมษายน นางสาวนกต้องการเงินเพิ่ม อ้างว่าเงินที่จะนำไปให้สรรพากรไม่พอ โดยอีกฝ่ายได้แนะนำให้ตนนำรถยนต์ไปรีไฟแนนซ์ เพื่อนำเงินออกมาใช้จ่าย จำนวน 144,000 บาท วันที่ 25 เมษายน นางสาวนกกับพ่อได้พาตนไปกรมที่ดิน โดยอีกฝ่ายได้ขอให้ตนนำที่ดินที่นา 2 ไร่ ไปจำนองกับคนรู้จัก แต่สุดท้ายกลายเป็นตนเซ็นโอนที่ดินให้พ่อของนางสาวนก เพราะตนไม่อ่านเอกสารให้ดี ตนจึงต้องวานเพื่อนให้ซื้อที่ดินคืนมาในราคา 1.4 ล้านบาท ค่าโอน 70,000 บาท
วันที่ 26 เมษายน นางสาวนกได้ขอเงินเดือน ส.ท. ของตนไปอีก 9,600 บาท รวมแล้วตนเป็นหนี้ 2,103,600 บาท เงินค่าที่ดิน 1.4 ล้านบาท ค่าโอนที่ 70,000 บาท ที่เหลือเป็นเงินที่โอนให้ฝ่ายหญิง โดยเป็นเงินที่หยิบยืมคนอื่นมา ตนหลงเชื่อนางสาวนก เนื่องจากนางสาวนกอ้างว่าเงินจ่ายภาษีไม่พอ หากไม่จ่าย เงินจำนวน 28 ล้านจะสูญไปทันที ตนจึงจำเป็นต้องให้เงินนางสาวนกยืมเรื่อย ๆ ไม่เช่นนั้นเงินที่ตนให้ยืมก็จะสูญไปด้วย รวมถึงเงินสินน้ำใจที่นางสาวนกรับปากว่าจะให้ตน ตนก็จะไม่ได้ แต่นางสาวนกไม่ได้ระบุจำนวนไว้
ตนขอยืนยันว่าตนไม่เคยมีเรื่องชู้สาวกับนางสาวนก ไม่เคยมีความสัมพันธ์กัน ขณะนี้ตนเดือดร้อนต้องหาเงินไปผ่อนจ่ายหนี้ ยังไม่ทราบจำนวนเงิน เพราะยืมคนรู้จักน่าจะผ่อนผันได้ ตนผิดเองที่ไม่คิดให้ดี ขณะนี้ครอบครัวทราบเรื่องแล้วรวมถึงชาวบ้าน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจแนะนำให้ตนปรึกษาทนายเพื่อนำเรื่องเข้าสู่ศาล เนื่องจากเรื่องของตนค่อนข้างมีรายละเอียดซับซ้อน แต่เนื่องจากตนไม่มีเงินจ้างทนาย ตนจึงเข้าร้องต่ออมรินทร์ทีวี
จากนั้นในเวลาประมาณ 15.00 น. นางสาวนกได้ติดต่อมาหาผู้เสียหาย เพื่อขอยืมเงินเพิ่มจำนวน 300,000 บาท โดยจะเดินทางมารับเงินในเวลา 17.00 น. นายช้อย ผู้เสียหาย และครอบครัว จึงได้ปรึกษากันว่าเมื่อนางสาวนกเดินทางมาถึง จะต้องมีการเจรจาให้นางสาวนกเซ็นสัญญากู้ยืมเงิน นายช้อยได้ขอให้นายก อบต.ห้วยกรดพัฒนา กำนันตำบลห้วยกรดพัฒนา และทางครอบครัวเข้ามาเป็นพยานในการเซ็นสัญญาในครั้งนี้
จากนั้นในเวลา 17.00 น. นางสาวนกก็ได้เดินทางมายังจุดนัดหมาย บ้านญาติของผู้เสียหาย โดยทั้งสองฝ่ายได้เจรจากันประมาณ 1 ชั่วโมง เกี่ยวกับปัญหาการเงินของนางสาวนก และทำไมจึงยืมเงินและไม่คืน แต่นางสาวนกนั้นอ้ำอึ้งที่จะตอบ เนื่องจากครอบครัวของผู้เสียหายมีจำนวนมาก จากนั้นจึงได้มีการร่างสัญญาการกู้ยืมขึ้น โดยมีการระบุวันชำระเงินจำนวน 2,103,600 บาท ในวันที่ 7 มิถุนายน 2565
จากนั้นนายช้อยและครอบครัวได้ขอให้ผู้สื่อข่าวอมรินทร์ทีวีเซ็นชื่อเป็นพยานในสัญญากู้ยืมเงิน เพื่อความสบายใจ ทีมข่าวได้พูดคุยกับนางสาวนก โดยพานางสาวนกมานั่งแยกจากครอบครัวของนายช้อย ผู้เสียหาย ซึ่งนางสาวนกบอกว่า ตนเป็นฝ่ายติดต่อนายช้อยไปเองเมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา เนื่องจากนายช้อยติดเงินค่ามัดจำรถที่เคยซื้อจากเต็นท์รถของตนไปเมื่อประมาณปี 2563
โดยเมื่อนายช้อยได้จ่ายเงินให้ตนแล้ว นายช้อยทราบว่าตนเลิกรากับสามี จากนั้นนายช้อยก็ได้พยายามติดต่อตนเรื่อยมา โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตนไม่เคยพูดถึงเงินจำนวน 28 ล้านบาท ไม่เคยพูดถึงกรมสรรพากร ตนเพียงบ่นถึงปัญหาด้านการเงิน ซึ่งนายช้อยเป็นคนเอ่ยปากจะช่วยเหลือตนเอง ซึ่งไม่มีการพูดถึงการกู้ยืม ดังนั้นการให้เงินจึงเป็นการให้โดยเสน่หา เพราะคงไม่มีเหตุผลอื่นที่ผู้ชายจะช่วยเหลือผู้หญิงได้ขนาดนี้ ซึ่งนายช้อยมักจะพูดกับตนว่ามีที่ดิน จะนำที่ดินมาปลูกบ้านอาศัยอยู่กับตน
ทั้งนี้ ตนไม่ได้มีใจให้นายช้อย แต่ตนเดือดร้อนเรื่องเงิน เนื่องจากเป็นหนี้ทางธุรกิจหลักสิบล้านบาท เมื่อนายช้อยเสนอตัวจะช่วยเหลือ ตนจึงต้องจำใจรับการช่วยเหลือนั้น โดยตนไม่เคยออกมาพบนายช้อยสองต่อสอง ไม่เคยให้ความหวังนายช้อย และไม่เคยมีสัมพันธ์ต่อกัน ส่วนโฉนดที่ดินขนาด 2 ไร่ ตนได้ขอให้นายช้อยนำที่ดินไปจำนอง แต่ในวันจำนอง นายช้อยไม่พอใจในสัญญาของผู้รับจำนอง เนื่องจากสัญญาเป็นสัญญาฝากขาย นายช้อยจึงเซ็นโอนที่ดินให้พ่อของตน ตนจึงนำที่ดินดังกล่าวไปจำนอง ได้เงินออกมาจำนวน 400,000 บาท ต่อมานายช้อยก็ได้พาเพื่อนมาซื้อที่ดินคืนไป ตนไม่ได้หลอกให้นายช้อยโอนที่ดินให้ ในวันนี้ตนจำใจต้องเซ็นสัญญากู้ยืมเงิน แต่ตนยอมรับตรงนี้ว่าตนคงหาเงินก้อนมาจ่ายนายช้อยไม่ทันตามสัญญา ตนคงต้องติดคุก