กรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์รูปภาพรถฟอร์ด เอเวอเรตต์ และคลิปวิดีโอขณะขับตามหลังถูกอีกฝ่ายขับตีคู่ เนื่องจากรถคันดังกล่าวได้เปิดกระจกด่าทอ และยกปืนขึ้นยิงขู่นั้น
วันที่ 17 พ.ค. 65 ทีมข่าวเดินทางมาที่ สภ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม พูดคุยกับนายประยูร แซ่เฮ้ง ผู้เสียหาย เผยว่า เมื่อวานนี้เวลาประมาณ 09.00 น. ตนกับครอบครัวกำลังจะขับรถไปไหว้พระที่ จ.นครปฐม โดยมากันทั้งหมด 5 คน คนที่นั่งข้างคนขับคือลูกชาย อายุประมาณ 18 ปี และเบาะหลังมีภรรยา ลูกชาย 5 ปี และลูกสาว อายุ 31 ปี ผู้ถ่ายคลิป นั่งเรียงกันจากซ้ายไปขวา
ระหว่างที่เดินทางผ่านเส้นศาลายานั้น ตนอยู่ฝั่งซ้ายสุดของเลนใน และสังเกตเห็นว่ามีรถยี่ห้อฟอร์ดขับอยู่เลนขวาของตน ในลักษณะตีคู่กันมา ก่อนจะเบียดตัดหน้าหวังจะเข้าซ้าย แต่เบียดเขามาไม่ทัน เพราะตนขับอยู่ทางตรง ทำให้รถคันดังกล่าวต้องมาเข้ามางด้านหลังแทน จนแยกออกไปเลนนอก รถคันดังกล่าวยังคงบีบแตรไล่ และขับขึ้นมาเทียงข้างฝั่งซ้าย และเปิดกระจกออกมาโวยวาย ตนทำท่าจะเปิดกระจกออกไปถาม แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไร คนที่นั่งอยู่ข้างคนขับก็ยกปืนขึ้นมายิง และขับรถหนีไป
ส่วนตัวตกใจอยู่สักพักใหญ่ ก่อนจะขับรถตามหลังไป และพยายามถ่ายคลิปวิดีโอ เพื่อเก็บภาพรถคันที่ก่อเหตุ ทั้งนี้ โชคดีที่กระสุนไม่ได้โดนรถ และไม่ได้โดนใคร แต่หากโดนจริง ๆ ย่อมทำให้เกิดการสูญเสียอย่างแน่นอน เพราะภายในรถของตนมีแต่ผู้หญิง และเด็ก อีกทั้งภายในรถของคู่กรณี มีผู้ชายทั้งหมด 2 คน ซึ่งทั้ง 2 คนเหมือนจะพกอาวุธปืน แต่ตนมองเห็นไม่ชัดว่าเป็นปืนชนิดไหน เนื่องจากตอนนั้นตนกำลังตกใจ หากวันนั้นตนไม่ตามไปถ่ายรูป อาจจะมีคนถูกกระทำเช่นนี้เหมือนกัน ซึ่งหากจับตัวได้ ตนไม่ต้องการคำขอโทษ แต้ขอให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ
เวลาประมาณ 18.40 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวผู้ก่อเหตุได้ออกมาจากห้องสอบสวน เพื่อเก็บหลักฐานการปั๊มลายนิ้วมือ ประกอบคาบเขม่าดินปืนที่เก็บได้จากอาวุธปืน นายอรรถพล ศรีประจันทร์ อายุ 20 ปี ผู้ก่อเหตุ เผยว่า วันที่เกิดเหตุ พ่อของตนได้ลดกระจกออกไปกล่าวเตือนเรื่องการขับรถ ก่อนจะขับออกไป แต่ทางผู้เสียหายยังขับรถตามมา และเปิดกระจกออกมาพูดคุยคล้ายกับกล่าวท้าทายพ่อของตน ซึ่งเป็นคนขับรถทำให้ตนบันดาลโทสะคว้าปืนขึ้นยิง แต่ปืนชนิดนี้พอยิงไปแล้วไม่ได้มีกระสุนออกไป เพราะเป็นปืนลูกแบลงค์กัน
หลังจากที่เกิดเหตุ พ่อของตนก็ขับรถออกมา ส่วนตนก็เริ่มตั้งสติได้ สำหรับกรณีที่ตนคว้าปืนยิงตนยอมรับว่าผิด และอยากจะกล่าวขอโทษ แต่หากผู้เสียหายไม่ท้าทายพ่อของตนก่อน เหตุการณ์ก็คงจะไม่เกิดขึ้น
เจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้ข้อมูลว่าหลังจากที่ได้ติดต่อไป ทั้งผู้เสียหายและผู้ก่อเหตุได้เข้ามาให้ปากคำ ผู้ก่อเหตุได้ยอมรับสารภาพว่าก่อเหตุไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ และตอนนี้สำนึกผิดแล้ว ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจเขม่าดินปืน และรวบรวมพยานหลักฐาน เบื้องต้น ถูกตั้งข้อหา ร่วมกันข่มขู่ผู้อื่น, มีอาวุธปืนในครอบครอง ,พกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะ, ยิงปืนในที่สาธารณะ