เมื่อวันที่ 14 ก.พ.65 เวลา 10.00 น. ที่กองบังคับการปราบปราม นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม พร้อมด้วยนางมน พันธแสน และลูกสาวอีก 2 คน เข้าแจ้งความดำเนินคดีนายตำรวจยศ พ.ต.ท.กับพวก ในข้อหาร่วมกันพยายามฆ่า ร่วมกันปล้นทรัพย์และร่วมกันพรากผู้เยาว์ เนื่องจากผู้เสียหายถูกตำรวจชุดจับกุมใช้สายไฟช็อต ใช้ผ้าคาดตา และใช้ถุงขาวคลุมหัว ก่อนจะซ้อมจนสลบคาเท้า และจับลูกสาวอายุ 12 กับ 14 ปี ไปกักขังเป็นตัวประกัน
นางมน ผู้เสียหาย ได้แสดงวิธีการถูกซ้อมให้รับสารภาพ เปิดเผยว่า ในวันเกิดเหตุตนอยู่ในบ้านกับลูก ๆ และสามี จู่ ๆ มีชายประมาณ 8 คน บุกเข้ามาในบ้าน พร้อมกับถามหายาเสพติดอยู่ที่ไหน จากนั้นได้เข้าไปมัดแขนสามีของตน และค้นหายาเสพติดภายในบ้าน แต่ไม่เจอยาดังกล่าวแต่อย่างใด
ทั้งนี้ พวกตนถูกปิดตาและนำตัวขึ้นรถไปที่ safe house แห่งหนึ่ง โดยแยกลูกของตนไปอีกคัน เมื่อถึงที่หมายตนถูกจับเข้าไปในห้องน้ำ ถูกปิดตา มัดแขน จับให้นอนลง และเอาสายไฟมารัดขา เอาน้ำราด และให้ผู้ชายคนหนึ่งมานั่งทับ ใช้ไฟฟ้าช็อต 3 ครั้ง และใช้ถุงพลาสติกครอบศีรษะของตนจนหายใจไม่ออก
ขณะที่ สามีของตนถูกซ้อมอยู่อีกห้องหนี่ง ซึ่งตนไม่เห็นว่าทำอะไรบ้าง เหตุการณ์ดังกล่าวนานเกือบ 1 ชั่วโมง จากนั้นตำรวจได้พาพวกตนมาส่งที่บ้าน ก็พบว่าตำรวจเจอยาเสพติดอยู่บริเวณนอกบ้าน เป็นของลูกน้องตน ทั้งนี้ ตนไม่ทราบเรื่องยาดังกล่าว หลังเกิดเหตุพวกตนไม่ได้ร้องเรียนอะไร เพราะกลัวว่าจะถูกทำร้าย แต่เมื่อสามีออกมาจากคุก จึงอยากดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด
นายสุวัฒน์ พันธ์แสน ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว เปิดเผยว่า ตนต้องอยู่ในคุกถึง 14 ปี หลังจากพ้นโทษ ตนต่อสู้มาถึง 3 ศาล ก่อนจะพ้นโทษออกมา จึงตัดสินใจร้องเรียนขอความเป็นธรรมกับหน่วยงานรัฐ แต่ก็ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ จึงเข้าแจ้งความกับตำรวจกองปราบปรามให้ช่วยเรื่องคดี ที่ถูกทำร้ายร่างกาย
นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้นำครอบครัวผู้ต้องหาคดียาเสพติด ที่ถูกจับกุมเมื่อปี 2550 เข้าแจ้งความกับตำรวจกองปราบปราม ให้ช่วยดำเนินคดีกับชุดปราบปรามยาเสพติด รวมประมาณ 8-12 นาย ใน 3 ข้อหา คือ ร่วมกันพยายามฆ่า ร่วมกันปล้นทรัพย์ และร่วมกันพรากผู้เยาว์ หลังจาก 14 ปีที่แล้วชุดจับกลุ่มดังกล่าวได้บุกเข้ามาภายในบ้านและควบคุมตัวครอบครัวผู้ต้องหารวม 4 คน โดยอ้างว่าภายในบ้านมียาเสพติด แต่เมื่อมีการตรวจค้นภายในบ้านก็ไม่พบของกลาง ตำรวจชุดดังกล่าวจึงควบคุมตัวสอบปากคำขยายผลที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานี ก่อนจะแยกตัวของผู้เสียหายและสามีไปสอบแยกที่ safe house แห่งหนึ่ง
โดยใช้วิธีทรมานด้วยการช็อตไฟฟ้า รุมทำร้ายร่างกาย และใช้ถุงพลาสติกครอบศีรษะ เพื่อให้รับสารภาพแล้วบอกที่ซ่อนยาเสพติด แต่ก็ไม่ได้รับการสารภาพ กระทั่งเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนอีกชุดหนึ่ง พบของกลางยาเสพติดเกือบ 4,000 เม็ดที่นอกรั้วบ้าน ตำรวจจึงนำตัวกลับมาที่บ้าน และบังคับให้เซ็นรับทราบข้อกล่าวหาอีกด้วย
นายอัจฉริยะ ยังตั้งคำถามไปยังตำรวจชุดจับกลุ่มดังกล่าวด้วยว่า มีเหตุผลอะไรถึงได้ไปจับ ตั้งแต่การเข้าตรวจค้นที่ไม่มีหมายค้นและหมายจับ ภรรยาและลูกสาวทั้ง 2 เพื่อไปกักขังและเอาเป็นตัวประกัน มีเหตุผลอะไรที่ใช้วิธีดังกล่าว และมีการฟ้องซ้ำในชั้นอัยการ ทั้งที่ไม่ได้สอบปากคำเพิ่ม พบว่าในปีที่เกิดเหตุชุดจับกลุ่มดังกล่าวมีการจับกุมในลักษณะนี้หลายคดี แต่ก็ไม่เคยถูกดำเนินการทางวินัยหรืออาญา ทั้งนี้ ทราบรายชื่อชุดจับกุมในคดีนี้เพื่อเตรียมเอาผิดย้อนหลังทั้งหมดแล้ว
"หลังจากพาครอบครัวนี้ยื่นเอกสารร้องเรียนที่กองปราบแล้ว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้สอบปากคำครอบครัวเพิ่มเติม และจะนำตัวไปชี้ภาพว่าใครคือเจ้าหน้าที่ชุดที่ร่วมเหตุการณ์ทำร้ายเมื่อ 14 ปีที่แล้ว ซึ่งภรรยาและลูกสาวจำหน้าตำรวจทุกคนได้ พนักงานสอบสวนจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ซึ่งผมยืนยันจะช่วยครอบครัวนี้ให้ถึงที่สุด เพื่อให้ได้รับความเป็นธรรม" นายอัจฉริยะ กล่าว
ทีมข่าวเดินทางมาที่ บริเวณริมบึงใหญ่ 200 ปี ภายใน ซอยรังสิต-ปทุมธานี 10 ซอย 13 ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญญบุรี จ.ปทุมธานี พบว่าบริเวณริมบึงนั้นปัจจุบันเป็นพื้นที่ว่างเปล่า และเท่าที่สอบถามจากชาวบ้านทราบว่า คนที่อยู่ในพื้นที่นี้ ส่วนใหญ่เพิ่งจะย้ายมาอยู่ได้ไม่ถึง 10 ปี
ทีมข่าวได้เดินทางมาสอบถามร้านขายของชำในพื้นที่ใกล้เคียง จึงพบกับนายสมเจตต์ สารทรัพย์ อายุ 52 ปี เจ้าของร้าน ให้ข้อมูลว่า ตนอาศัยอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี พ.ศ.2528 และไม่เคยได้ยินกรณีที่ตำรวจอุ้มเรียกค่าไถ่ หรือเรื่องยาเสพติดมาก่อน ซึ่งเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว บริเวณนี้เคยมีคดีเรื่องยาเสพติด แต่ปัจจุบันนี้ไม่มีนานแล้ว ส่วนพื้นที่บริเวณริมบึง เคยมีบ้านพักตั้งอยู่แต่ถูกรื้อนานหลายปีแล้ว และบางส่วนก็เพิ่งจะถูกรื้อถอนไป อย่างไรก็ตาม หากเรื่องที่ผู้เสียหายร้องว่าตำรวจได้อุ้มไปซ้อมเรียกค่าไถ่เป็นจริง ตนมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง
