เหยื่อแฉกลโกง ลอตเตอรี่ 130 ล้าน ร้องตำรวจ ดีเอสไอ ช่วยเหลือ

27 ม.ค. 65

ผู้เสียหายหัวหินเปิดกลโกง ลอตเตอรี่ 130 ล้าน ร้องตำรวจและดีเอสไอช่วยเหลือ

ความคืบหน้ากรณีผู้เสียหายจำนวนมากเข้าแจ้งความร้องทุกข์พนักงานสอบสวน สภ.หัวหิน ว่านำเงินไปสั่งซื้อ ลอตเตอรี่ หรือ สลากกินแบ่งรัฐบาล กับบุคคลหนึ่ง โดยในช่วงแรกยังได้สลากนำมาจำหน่าย แต่ต่อมากลางเดือนธันวาคม ผู้เสียหายโอนเงินไป 130 ล้านบาทเพื่อสั่งซื้อสลาก แต่กลับไม่ได้และมีการบ่ายเบี่ยงมาตลอดทำให้ได้รับความเดือดร้อน จึงเข้าแจ้งความ และล่าสุด ได้ร้องทุกข์ กับทาง ดีเอสไอ อีกทางเพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่ติดตามตัวผู้กระทำความผิดมาชดใช้เงินและดำเนินคดีทางกฏหมาย ในข้อหาฉ้อโกงประชาชน เบื้องต้นพนักงานสอบสวนผู้เสียหายไปเกือบ 40 คนแล้ว ซึ่งมียอดผู้เสียหายถึง 80 คน

ความคืบหน้าวันนี้ 27 ม.ค. 65 กรณี โกงสลากกินแบ่งรัฐบาล มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท พล.ต.ต.วันชัย ธารณธรรม ผู้บังคับการตำรวจภูธรประจวบคีรีขันธ์ กล่าวถึงความคืบหน้าในกรณีที่ผู้เสียหาย ถูกโกงสลากินแบ่งรัฐบาล และเข้าแจ้งความที่ สถานีตำรวจภูธรหัวหิน เป็นจำนวนมากและมีมูลค่าความเสียหายสูงกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งได้สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้เสียหายเป็นอย่างมากนั้น ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนและสืบสวนในกรณีดังกล่าว โดยมี พ.ต.อ.วิธิวัฒน์ ศรีทองจ้อย รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ดูแลงานสอบสวน และ พ.ต.อ.พนิช อ่วมสอาด รองผู้บังคับการตำรวจภูธรประจวบฯ ดูแลงานสืบสวนในเรื่องดังกล่าว และแต่ตั้งพนักงานสอบสวนจาก สภ.อื่นๆ จำนวน 20 นายเข้ามาช่วยสอบปากคำผู้เสียหาย 2 วันที่ผ่านมาแล้ว 35 ราย ที่ สภ.หัวหิน โดยมี พ.ต.อ.เจริญ ชนประเสริฐ ผกก. สอบสวนตำรวจภูธรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ลงมาควบคุมการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ที่ผู้เสียหายนำมาให้ในเบื้องต้น

ซึ่งขณะนี้ทางรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เตรียมให้พนักงานสอบสวนทั้งหมดสรุปและรายงานผลการสอบสวนและพยานหลักฐาน เพื่อนำมาพิจารณาในคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนรวมทั้งส่งตำรวจสืบสวนหาข้อมูลในทางลับเกี่ยวกับเรื่อการโกงสลากินแบ่งรัฐบาล ด้วยซึ่งถือเป็นคดีฉ้อโกงประชาชน

พล.ต.ต.วันชัย ธารณธรรม ผู้บังคับการตำรวจภูธรประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่าขณะนี้ 2 วันที่ผ่านมานั้นซึ่งการสอบสวนเสร็จแล้วในเบื้องต้น ใน  35 ราย นั้นมีมูลค่าความเสียหายที่ผู้เสียหายให้ปากคำนั้น ราว 25 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามยังมีผู้เสียหายอีกเกือบ 40 รายที่ยังไม่ได้เข้ามาแจ้งความและให้ปากคำซึ่งทางตำรวจขอให้ผู้เสียหายที่ประสงค์จะแจ้งความข้อให้มาไดที่ สภ.หัวหิน และยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีการตั้งข้อหาเอาผิดกับผู้ใดทั้งสิ้นเพราะขั้นตอนต่างๆยังไม่เสร็จสิ้น รวมทั้งต้องประสานงานไปยังธนาคารต่างๆ ที่ผู้เสียหายโอนเงินไปให้ใครบ้างอย่างไร แต่บอกได้ว่าขณะนี้ได้รับเลขคดีเรียบร้อยแล้วและในทางกฎหมายถือว่า ”เป็นการฉ้อโกงประชาชน” ซึ่งคดีไม่มีความซับซ้อน ส่วนจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาผู้ใดบ้างตอนนี้ยังบอกไม่ได้ในชั้นนี้ เพราะต้องรอพยานหลักฐาน เอกสารต่างๆในครบถ้วยก่อน คงไม่ใช้เวลานานขอให้ผู้เสียหายเชื่อใจการทำงานของตำรวจ

ขณะเดียวกันวันนี้ นายภาณุพงศ์ ชุมภารี อายุ 26 ปี ชาวหัวหิน เจ้าของร้านจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล ทั้งขายปลีกและส่ง “ล็อตโต้ชี้ส 24 ชั่วโมง” ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองหัวหิน ยอมเปิดเผยรายละเอียดกับผู้สื่อข่าว ว่าเดิมที่ทำธุรกิจพระเครื่องและขายปุ๋ย และเมื่อกลางปีที่ผ่านมาต้องการเปิดร้านจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล ลักษณะขายปลีกเพื่อเป็นรายได้เสริม ซึ่งระหว่างทำร้าน เพื่อนสมัยเรียนด้วยกัน ก็แนะนำให้รู้จักกับ ”ชายคนหนึ่ง” ที่จังหวัดนนทบุรีว่ามีโควต้าสลากกินแบ่งรัฐบาล ตนเองจึงให้ความสนใจจากนั้นมีการติดต่อพูดคุยถึงเรื่องการสั่งซื้อสลากินแบ่งรัฐบาลทั้งทาง เฟซบุ๊ก ทางไลน์ โทรศัพท์กันบ้านกระทั่งร้านเสร็จ จึงโอนเงินสั่งซื้อให้
” ชายบุคคล” ดังกล่าวที่อยู่นนทบุรี ที่ถูกแนะนำให้รู้จักเมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2563 สั่งซื้อจำนวน 8 กล่อง 4,000 ใบ สลากกินแบ่งรัฐบาล 1 กล่อง มี 5 เล่ม เล่มละ 100 ใบ และได้รับสลากงวดแรก วันที่ 17 สิงหาคม 2563 เพื่อจำหน่ายงวดวันที่ 1 กันยายน คือตนเองต้องโอนเงินก่อน 1 งวดทุกครั้ง การโอนเงินนอกจากจะมี “ชายคนหนึ่ง” แล้วยังมีเจ้าของบัญชีอีก 3 คนที่โอนไปด้วยเวลาสั่งซื้อบางครั้งเนื่องจากยอดเงินสูงจึงต้องแบ่งโอน และขึ้นไปรับสลากที่จังหวัดนนทบุรี โดยไปพบ ”ชายคนดังกล่าว” เดินอยู่ในสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พร้อมนำสลากมาให้และงวดที่ 2 ก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน โดยสลากที่นำมาก็จำหน่ายหมด มีลูกค้าไปซื้อและรับไปจำหน่ายต่อ เป็นลักษณะเช่นนี้เรื่อยมา กำไรใบละ 3-4 บาทต่อใบ

สิ่งสำคัญ “ชายคนดังกล่าว” ยังสร้างความมั่นใจทำให้ตนเองหลงเชื้อก็คือ แต่งตัวภูมิฐาน สวมเครื่องประดับทั้งเพชร พลอย ขับรถหรูป้ายทะเบียนประมูล และพาไปดูสำนักงานอยู่ใกล้กับกองสลาก นอกจากนั้นยังโชว์สลิปเงินให้เห็นว่ามีผู้หลักผู้ใหญ่สั่งซื้อและโอนเงินเข้ามาเป็นจำนวนมากในแต่ละงวด และย้ำว่าได้โควต้ามาในราคาถูกสำหรับจำหน่ายให้กับตนเอง

นายภาณุพงศ์ หนึ่งในเจ้าของร้านจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล และยังเป็นผู้เสียหาย กล่าวอีกว่ากระทั่ง 2 งวดผ่านไป ระยะหลังก็ไม่ได้ไปรับสลาที่กองสลากแล้ว ชายคนดังกล่าวให้เปลี่ยนเป็นที่ในซอยแถวกองสลาก เวลาผ่านมาเมื่อมีลูกค้ามาสั่งซื้อสลากจากตนเองนำไปจำหน่ายได้หมดก็มีลูกค้าเพิ่มขึ้น ตนเองเห็นว่าได้กำไรดีจึงชักชวนครอบครัว ญาติพี่น้อง และเพื่อนๆ มาลงทุนเพิ่มเติมเพื่อสั่งซื้อสลากมาจำหน่ายเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยอดลูกค้าที่สั่งซื้อเพิ่มขึ้นทยอยจากหลัก 50 ล้าน ขึ้นไป 80 ล้าน 100 จนถึงงวดสุดท้ายโอนเงินไปทั้งหมด 130 ล้านบาท เพื่อสั่งซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลจำนวน 3,000 กล่องในช่วงต้นเดือนธันวาคม เพื่อรับสลากกินแบ่งรัฐบาลในวันที่ 17 ธันวาคม 2563 มาจำหน่ายในงดวันที่ 1 มกราคม 2565 แต่เมื่อถึงเวลานัดรับสลากกลับไม่ได้สลากจึงพาลูกค้าที่หัวหิน 20 ราย ขึ้นไปสอบถามและได้มาเพียง 105 กล่องเท่านั้น

โดย “ชายคนดังกล่าว” แจ้งว่ายังเบิกของกับกองสลากไม่ได้ ติดปัญหาโดนโยกย้ายโควต้าและไม่สามารถคืนเงินได้เนื่องจากไม่สามารถถอนเงินออกจากกองสลากมาคืนได้ เพราะปกติทำสัญญากับคนอื่นๆไว้ 1-2 ปีแต่กับตนเองเพิ่งค้าขายกัน5-6 เดือนเท่านั้น โดยหากต้องการสลากต้องวางเงินเพิ่มอีก 130 ล้านบาทเป็น 260 ล้านบาท เพราะต้องไปจองโควต้าสลากกินแบ่งรัฐบาลของปี 2565 จึงจะได้สลาก ตนเองก็บอกไปว่าไม่มีเงินแล้ว เมื่อไม่ได้สลากจึงหมดตัวลูกค้าที่มาสั่งซื้อสลากของตนเองก็ไม่ได้สลากและสูญเงินเหมือนกันทุกคนเดือนร้อนกันไปหมด

ความเป็นจริงตนเองสูญเงินไป 33 ล้านบาท และกลุ่มเพื่อนๆ อีก 77 ล้านบาท และลูกค้าที่เป็นคนหัวหิน อีก 20 ล้านบาท
ซึ่งตนเองรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนๆ และลูกค้าที่มาซื้อสลากที่ตนเอง ความหวังที่จะได้เงินคืนมารู้สึกน้อยมากในตอนนี้ ซึ่งตนเองก็คงต้องพยามหาเงินจากการทำธุรกิจอื่นๆ ที่ยังเหลืออยู่ พยามหาเงินมาคืนแต่ก็เป็นจำนวนเงินที่มากอยู่ ยอมรับว่ารู้สึกเครียดมาก และร้านก็ปิดมาตั้งแต่กลางเดือนธันวาคม ที่ผ่านมาแล้ว

ซึ่งตนเองก็พาผู้เสียหายไปแจ้งความที่ สภ.หัวหิน 40 รายและที่เหลืออีก 40 รายนั้นซึ่งเป็นเพื่อนๆ ก็มอบให้ตนเองเข้าแจ้งความแทน ซึ่งตอนนี้ได้นำพนายหลักฐานต่างๆ ทั้งสลิปการเงินไปยังบัญชีของ นายอนุชา และอีก 3 บัญชี รวมทั้งภาพถ่ายที่ไปพบกับ “ชายคนดังกล่าว” การพูดคุยทางไลน์ และคลิปเสียงต่างๆ ที่ตนเองเก็บเอาไว้ เพื่อเป็นหลักฐานมอบให้กับพนักงานสอบสวน รวมทั้งตอนนี้ได้เข้าร้องทุกข์กับ ดีเอสไอ ไปแล้ว

อย่างไรก็ตามขณะนี้ “ชายคนดังกล่าว” เวลาโทรศัพท์ไปหาก็ยังรับสายอยู่แต่ยังบ่ายเบี่ยงในเรื่องการหาเงินมาคืนให้ บอกว่าอย่าให้เป็นข่าวและแจ้งตำรวจเพราะจะไม่ได้เงินคืน เบื้องต้นตนเองก็จะเอาเรื่องจนถึงที่สุดอย่างแน่นอนเพราะเดือดร้อนมาก รวมทั้งทุกๆ คน

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส