วันที่ 23 ธ.ค. 61 ความคืบหน้าการค้นหา ด.ช.ซูลุย อายุ 2 ขวบ หลังหายตัวเข้าไปในไร่อ้อย หมู่ 9 ต.สระพังลาน อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ซึ่งเข้าสู่วันที่ 7 ของการค้นหา หลังจากที่ตำรวจภูธรภาค 7 กว่า 200 นาย ได้ระดมกำลังเดินปูพรมลาดตระเวนในไร่อ้อย พื้นที่ 1,400 ไร่ พร้อมกับชาวบ้านอาสาในพื้นที่ที่ให้ความช่วยเหลือ และอำนวยความสะดวกตลอดภารกิจ โดยในช่วงกลางวัน เป็นการค้นหาภาคพื้นดินรวมถึงภายในบ่อน้ำ ส่วนภาคกลางคืน ตั้งแต่เวลา 19.00 น. จะเปลี่ยนเป็นทางอากาศ การค้นหายังเป็นไปอย่างเข้มข้น จากเดิมเคยปูพรมค้นหาเพียงรัศมีจากจุดที่เด็กหาย ขยายเป็นวงกลม ระยะทาง 2-3 กิโลเมตร เน้นการค้นหาจากไร่อ้อยด้านหน้ากองอำนวยการ ทอดยาวถึงบ่อน้ำกลางไร่
ซึ่งวันนี้ ทำการปรับแผน และทำตามคำแนะนำของมูลนิธิกระจกเงา ให้มีการขยายปูพรหมเป็นระยะรัศมี 4-5 กิโลเมตร เพราะเชื่อว่าผ่านไปเกือบ 7 วัน เด็กจะสามารถเดินได้ไกลมากขึ้น โดยเจ้าหน้าที่ได้เข้าค้นหาไร่อ้อยกว้างขึ้น อีกทั้ง เมื่อเวลา 12.30 น. ชมรมช้างจากจังหวัดอยุธยา นำโดยนายลายทองเหรียญ มีพันธุ์ ในฐานะประธานกลุ่มคชสารคู่แผ่นดิน นำช้างน้ำหนัก 3 ตัน จำนวน 4 เชือก ร่วมปฏิบัติการค้นหาในครั้งนี้ และก่อนจะมีการนำช้างเข้าทำการค้นหา ได้มีการประกอบพิธีเบิกป่า หรือเปิดป่า นำโดยพระพิภพ ศรีสุทโธ ที่เดินทางมาร่วมสร้างขวัญกำลังใจให้กับญาติ และเจ้าหน้าที่
นายลายทองเหรียญ มีพันธุ์ ประธานกลุ่มคชสารคู่แผ่นดิน เปิดเผยว่า ช้างที่นำมาช่วยงานเป็นช้างแสนรู้ สามารถร่วมทำงานได้ทุกประเภท มีน้ำหนักตัวไม่มาก ระดับ 3 ตันลงมา ซึ่งหากปฏิบัติการวันนี้ประสบความสำเร็จ ในวันพรุ่งนี้ (24 ธ.ค.) ก็จะส่งช้างขนาดเล็ก 1 - 2 ตัน มาช่วยปฎิบัติการค้นหาเพิ่มอีก ส่วนข้อกังวลว่าช้างตัวใหญ่กว่าเด็ก 2 ขวบ อาจเป็นอันตรายต่อเด็กนั้น ยืนยันว่าช้างเป็นสัตว์ที่เดินยกเท้าไม่สูง ลักษณะการเดินจะเตะเท้าไปข้างหน้า ไม่ใช่ลักษณะเดินเหยียบโดยทันที เพราะช้างเหล่านี้เคยผ่านการฝึกการนวดคนมาแล้ว ซึ่งหากกำลังเหยียบวัตถุบางอย่าง ช้างจะยกเท้าขึ้นทันที
ส่วนวิธีการที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างช้างกับควาญช้าง ในขณะที่ช้างกำลังเดินไปด้านหน้า หากพบสิ่งกีดขวางหรือเจอตัวเด็กก็จะหยุด และให้สัญญาณกับควาญช้าง ด้วยการส่งเสียงร้อง หรือใช้งวงสื่อสาร เนื่องจากช้างเหล่านี้ผ่านการฝึกฝนมาแล้ว หากพบสิ่งกีดขวางด้านหน้าจะต้องหยุดทันที ดังนั้น เรื่องของการเหยียบเด็กจึงไม่น่าเป็นห่วง ส่วนข้อกังวลที่ช้างมีขนาดตัวที่ใหญ่จะทำให้ไร่อ้อยได้รับความเสียหายนั้น ยอมรับว่าช้างต้องการใช้พื้นที่ 50 เซนติเมตร สามารถเดินผ่านได้ และไม่ทำให้ต้นอ้อยได้รับความเสียหาย
ส่วนปฏิบัติการครั้งนี้ ยอมรับว่า เจ้าหน้าที่ได้ใช้เครื่องมือที่ทันสมัยหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้ค้นหาเด็กโดยเร็ว แต่การใช้เครื่องมือที่ทันสมัย และได้รับการสนับสนุนช้าง ก็จะทำให้ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และส่วนตัวเชื่ออีกว่า หากใช้เจ้าหน้าที่ก็จะทำให้มีความเหนื่อยล้ามากขึ้น หากมีช้างเข้ามาช่วยเหลือก็จะทุ่นแรงได้พอสมควร
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองพิสูจน์หลักฐาน ได้นำเสื้อผ้าเด็ก 2 ขวบ ที่สวมใส่แล้ว มาให้ช้างดมกลิ่น เพื่อให้การค้นหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะหากช้างได้กลิ่น ก็จะบอกควาญช้างได้อย่างรวดเร็ว เพราะช้างชุดนี้ เคยผ่านการฝึกการดมกลิ่นเพื่อการค้นหามาแล้ว
ทั้งนี้ ทีมข่าวเดินทางไปที่บ้าน ที่ตั้งอยู่กลางไร่อ้อย ห่างจากเด็กหายประมาณ 700 เมตร ซึ่งหากเด็กจะผ่านจากจุดที่ลานว่าง เข้าป่าอ้อยไปยังบ่อน้ำ จะต้องผ่านบ้านหลังดังกล่าวก่อน โดย
นางสาวยุพิน ใจกล้า อายุ 42 ปี เจ้าของบ้าน และเจ้าของไร่อ้อย 5 ไร่ ใกล้จุดเกิดเหตุ เล่าว่า ตลอด 7 วันที่เด็กหาย ตนเองได้ไปร่วมกันเจ้าหน้าที่ ในการค้นหาเด็กทั้งวันทั้งคืน แต่ก็ยังไม่พบตัว อีกทั้งรอบบ้านของตนเองเวลากลางคืนก็ไม่มีสิ่งผิดปกติ แต่สุนัขที่เลี้ยงไว้ ก็ยังคงเห่าทุกวัน จึงไม่คิดว่าเจอสิ่งแปลกปลอม ซึ่งหากเด็กเดินหลงมาทางไร่อ้อย ก็จะผ่านบ้านตนเองก่อนไปที่บ่อน้ำ
อีกทั้ง วันที่เกิดเรื่อง(17 ธ.ค.) เวลาประมาณ 11.00 น. ซึ่งคาดว่าเป็นเวลาที่เด็กหายตัวไปนั้น ไม่มีคนขับรถผ่านตามที่เจ้าหน้าที่คาดการณ์ และหากมีคนผ่านไปที่บ่อน้ำหลังบ้าน ตนก็จะต้องเห็นเหตุการณ์ เนื่องจากตนเองอยู่บ้านในเวลาดังกล่าว
นางสาวยุพิน กล่าวอีกว่า ภายในไร่อ้อยมีสัตว์ดุร้ายจำนวนมาก ทั้งต่อ แตน งูมีพิษ รวมถึงงูหลามขนาดใหญ่ ซึ่งงูตัวดังกล่าวมักจะวนเวียนอยู่ในไร่อ้อย บางครั้งก็จะออกมาแอบกินสุนัขชาวบ้านที่เลี้ยงไว้ ตนเองจึงห่วงเด็ก 2 ขวบ และอยากรอให้เกิดปฏิหาริย์ที่เด็กจะเดินออกมาด้วยความปลอดภัย แต่ก็เชื่อมันว่าเด็กจะไม่เดินเข้าไปในไร่อ้อย เพราะใบอ้อยคม เดินลำบาก ซึ่งแม้แต่ผู้ใหญ่ ก็ยังไม่เดินเข้าไป
ทั้งนี้ ตนในฐานะเจ้าของไร่อ้อย 5 ไร่ ที่อยู่ในพื้นที่แปลงรวมแห่งนี้ พร้อมที่จะเก็บเกี่ยวอ้อยก่อนฤดูกาล เพราะชีวิตเด็ก ที่ไม่ว่าจะคนไทย หรือต่างชาติ ก็มีความสำคัญ ซึ่งหากเก็บเกี่ยวก่อนเวลา จะมีรายได้เพียงไร่ละ 7,500 - 8,000 บาท หรือคิดเป็นเงิน 40,000 บาท ซึ่งตนเองก็ยอมแลก
ขณะที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 2 สุพรรณบุรี ได้นำรถตัก 1 คัน และเรือยางขนาดใหญ่ 2 ลำ ทำการตักจอกแหนและผัดตบชวา ที่ปิดหน้าน้ำเอาไว้ออก เพื่อเปิดทางให้การค้นหาใต้น้ำทำงานสะดวกมากขึ้น แต่ก็ยังมีวัชพืชจำนวนมาก ที่ยังปกคลุมอยู่บริเวณผิวน้ำ
ทั้งนี้ ช่วงเวลา 15.40 น. บริเวณบ่อน้ำกลางไร้อ้อย มีชุดอาสากู้ภัย จากร่วมกตัญญู กทม. จำนวน 14 นาย และทีมประสานงานอีก 5 นาย เดินทางมาพร้อมอุปกรณ์ดำน้ำ หรือชุดมนุษย์กบ ลงดำแบบปูพรม เพื่อค้นหาใต้น้ำอย่างต่อเนื่อง โดยมีพ่อแม่ ญาติของเด็ก 2 ขวบ มาให้กำลังใจ และร่วมติดตาม
นายวรวุฒิ จันทร์โอภาส อาสากู้ภัย จากร่วมกตัญญู เปิดเผยว่า อุปสรรคของการค้นหาภายในบ่อน้ำแห่งนี้ คือ ในน้ำมีความเย็น ประกอบกับขุ่นและมีเศษวัชพืชจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่เรียงหน้ากระดาน ใช้เชือกนำทาง โดยค้นหาแบบแนวราบ และใช้การสัมผัสจับตามกลุ่มวัชพืชใต้น้ำ ส่วนระยะการมองเห็นมีเพียงแค่ 1 ฟุตเท่านั้น แต่โดยเบื้องต้นในการค้นพาวันนี้ บริเวณริมฝั่ง ยังไม่พบสิ่งผิดปกติ
ซึ่งจากการได้รับประสานงานจากกองอำนวยการ โดยให้ชุดอาสาร่วมกตัญอยู่ทำการค้นหาในวันนี้นั้น เพราะคาดว่าอาจจะมีการโยนเด็กลงน้ำ และมีการใช้หินหรืออุปกรณ์ที่มีน้ำหนักถ่วงเอาไว้ จึงต้องมีการค้นหาภายใต้เศษวัชพืชเหล่านั้น
นางสาวมอ อายุ 20 ปี และนายเพียว อายุ 26 ปี พ่อแม่ของเด็ก เปิดเผยผ่านนายปิฟิวอาว ล่ามภาษาพม่าว่า แม้วันนี้ปฏิบัติการจะผ่านไปครบสัปดาห์ แต่ยังมีความหวัง และเชื่อว่าลูกชายยังมีชีวิตอยู่ โดยปักใจเชื่อว่ามีคนลักพาตัวไป เพราะหากเด็กหลงอยู่ในป่าอ้อยก็คงจะออกมาได้แล้ว แต่ก็ยังไม่ตัดประเด็นอื่นทิ้ง ทั้งนี้ ขอขอบคุณหน่วยงานของประเทศไทยที่ร่วมช่วยเหลือครอบครัว และค้นหาตัวเด็กอย่างไม่ย่อท้อ
ทั้งนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีญาติพาลูกชายกลับบ้านไปก่อน เนื่องจากตอนเดินทางมานั้น มากันเพียง 3 คน พ่อแม่ลูกเท่านั้น ส่วนญาติที่เมียนมาก็แสดงความเป็นห่วง กังวลใจ ติดตามข่าวตลอด นอกจากนี้ ครอบครัวยังถูกญาติต่อว่า “แค่เด็กคนเดียว ทำไมดูแลไม่ได้”
เมื่อเวลา 19.00 น. การค้นหาเด็กได้ยุติลงชั่วคราว เนื่องจากบริเวณไร่อ้อย และจุดโดยรอบค่อนข้างมืด และเป็นอุปสรรค์เรื่องการมองเห็น ก่อนที่จะเริ่มต้นค้นหาใหม่ ในเช้าวันพรุ่งนี้ เวลา 08.00 น. และขณะนี้เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ได้ทยอยถอนกำลังออกมาจากไร่อ้อยแล้ว แต่พื้นที่ส่วนกลาง ที่กองอำนวยการ ยังมีชาวบ้านและกลุ่มแรงงานชาวเมียนมาบางส่วน เดินทางมาให้กำลังใจเจ้าหน้าที่
นางใส แสงดานุช อายุ 65 ปี ชาวบ้านในพื้นที่ เปิดเผยว่า ตนเองเดินทางมาช่วยค้นหาตัวเด็กทุกวัน และมีโอกาสเข้าไปบุกไร่อ้อย โดยใช้มือเปล่าในการเปิดทางค้นหาเด็ก แต่ก็ไม่เจอ ซึ่งขณะนี้ ตนยังมีความหวังว่าเด็กจะรอด จึงต้องหารช่วยหาต่อไป จนกว่าจะพบตัวเด็ก
ด้าน
รองตำรวจเอกละมัย มะลิอ้อง เจ้าหน้าที่ตำรวจตะเวนชายแดนพนมทวน กาญจนบุรี ในฐานะชุดร่วมปฏิบัติการค้นหา เปิดเผยว่า ยินดีที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในปฏิบัติการค้นหา ยอมรับว่าอุปสรรคใหญ่สำหรับการค้นหาวันนี้ เป็นเรื่องความคมของใบอ้อย เนื่องจากเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่จะโดนใบอ้อยบาด ดังนั้นจึงต้องมีการป้องกันโดยการสวมหมวกหรือถุงมือในขณะที่ทำการค้นหา
อีกทั้งความมืดก็เป็นอุปสรรคของการทำงาน แต่หากมีอุปกรณ์แสงสว่าง หรือไฟฉาย ก็สามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งการทำงานครั้งนี้ ยอมรับว่าจะทำงานให้เต็มที่ เพื่อเร่งค้นหาเด็ก
นอกจากนี้ พบว่า มีร่างทรงแต่งกายด้วยเสื้อยืด กางเกงขายาว ได้ปรากฏตัวใต้ต้นไม้ ลักษณะกำลังเข้าทรง โดยมีชาวบ้าน และเจ้าหน้าที่เข้ามามุงดู แต่การทรงครั้งนี้ ไม่ได้มีการสื่อสารใด ๆ เพียงแต่นั่งท่าสมาธิ โยกตัวไปมา และท่องบทสวด ก่อนให้ญาติหรือชาวบ้าน ไปจุดธูปบอกกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเปิดทางให้เด็ก 2 ขวบ ก่อนที่จะเดินออกไปจากจุดที่นั่งทรงเจ้า และหายตัวไปในที่สุด ซึ่งจากการสอบถามชาวบ้าน บอกว่า ตั้งแต่มีเรื่องเด็กหาย มักมีบุคคลคลายร่างทรง ปรากฏตัวเป็นระยะ ทำให้ชาวบ้านตื่นตระหนกตลอดเวลา