สุดยอดดราม่ายูทูบเบอร์ อินฟลูเอนเซอร์ ปีวัว แซ่บนัวสนั่นโลกออนไลน์

25 ธ.ค. 64

สรุป สุดยอดดราม่ายูทูบเบอร์ อินฟลูเอนเซอร์ ปีวัว แซ่บนัวสนั่นโลกออนไลน์ ประจำปี 2564

1.พิมรี่พาย เจอดราม่ากระหน่ำรายวัน หมอปลอมในคลินิกเสริมความงาม กล่องสุ่มส่งช้า ไม่คุ้มค่า

240589022_1319110878849615_20

เป็นเจ้าแม่ด้านการขายของออนไลน์ ที่จะทำอะไรก็กลายเป็นกระแสสำหรับ "พิมรี่พาย" ทั้งการขายของได้เป็นร้อยล้านในสิบนาที การเปิดให้ชมโกดังและโรงงานที่ใหญ่โต แต่ปีนี้พิมรี่พายก็เจอกับกระแสด้านลบไม่ยั้ง ทั้งการขาย "กล่องสุ่ม" ที่หลายคนตั้งข้อสงสัยว่าทำไมรางวัลใหญ่ๆ ถึงตกอยู่กับอินฟลูเอนเซอร์และคนที่มียอดผู้ติดตามเยอะๆ นอกจากนี้ยังมีประเด็นสินค้าที่สั่งและจ่ายเงินไปแล้ว กลับตกค้าง ส่งช้า ไม่ถึงมือผู้รับสักที บางคนก็ได้รับสินค้าที่ผิดจากออเดอร์ หรืได้รับไม่ครบ พอจะติดต่อขอเปลี่ยนสินค้าหรือทวงสินค้าที่ยังไม่ได้ก็เกิดความล่าช้า รวมถึงกล่องสุ่ม ที่หลายคนบ่นว่าซื้อแล้วไม่คุ้มค่า เพราะได้เครื่องสำอางที่เก่า และเป็นสินค้าที่หาได้ทั่วไปตามท้องตลาด

แต่ที่เป็นประเด็นเผ็ดร้อนที่สุด นั่นคือ การที่มีคุณหมอท่านหนึ่งถูกสาวมิจฉาชีพนำหลักฐานต่างๆ ไปแอบอ้างไปสมัครเป็นแพทย์ในคลินิกเสริมความงามของ พิมรี่พาย ย่านห้วยขวาง ก่อนที่เธอจะตรวจสอบจนพบว่า สาวรายนี้เป็นหมอปลอม จนประกาศตั้งรางวัลนำจับถึง 1 แสนบาท นอกจากนี้เธอยังได้ไลฟ์สดหลั่งน้ำตากราบขอโทษลูกค้าที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการรักษาของหมอปลอมรายนี้ ท่ามกลางกระแสสังคมที่โหมกระหน่ำว่า คลินิกของเธอนั้นทำไมขาดความรอบคอบด้านการรับพนักงาน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของผู้ใช้บริการ

นอกจากนี้ ยังมีการตั้งข้อสังเกตเรื่องฟิลเลอร์ที่นำมาฉีดว่าได้มาตรฐานหรือไม่ ซึ่งเจ้าตัวชี้แจงว่าซื้อมาจากเอเย่นต์อีกที และเป็นสินค้าที่ถูกต้อง โดยมีคุณหมอของขวัญ คุณหมอเสริมความงามชื่อดังได้ออกมาโรงตำหนิว่า พิมรี่พายจะขายทุกอย่างไม่ได้ สินค้าบางอย่างควรจะให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นคนจำหน่ายมากกว่า

ต่อมา น.ส.อาลินดา ที่แอบอ้างเป็นหมอ แล้วหลบหนีไป ได้ถูกตำรวจจับได้ที่ชลบุรี โดยเจ้าตัวเผยตนเอง จบ ม.6 เคยเป็นเซลส์อยู่ที่คลินิกความงามแถวจตุจักร พอขยายสาขา จึงได้เป็นผู้จัดการด้วย ระหว่างที่ทำงานเคยเอาโบท็อกซ์ที่เหลือจากลูกค้ามาลองฉีดกันเองในกลุ่มพนักงาน จนคิดว่าชำนาญ เลยมาสมัครเป็นหมอ ตำรวจได้ตั้งข้อหา "ฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, ประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต ,ใช้คำหรือข้อความที่แสดงให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมสาขาต่างๆ"

2.รถทัวร์จอดช่อง "ปั๋น Riety" จ้างทำโลโก้ ราคา 20-20,000 บาท แล้วเอามาวิจารณ์เปรียบเทียบ

0926ba25-ab82-436f-8693-dc136

เป็นประเด็นดราม่าในแวดวงศิลปะ เมื่อ "ปั๋น ดริสา การพจน์" ทำคลิปชื่อว่า "จ้างทำโลโก้ราคา 20 / 2,000 / 20,000 บาท ปรากฏว่า.." โดยมีเนื้อหาจ้างกราฟิกดีไซเนอร์ให้ออกแบบโลโก้ช่อง "Riety" โดยมีค่าจ้างเริ่มต้นตั้งแต่ 20 บาท 200 บาท 2,000 บาท 10,000 บาท และ 20,000 บาท ก่อนหยิบผลงานมาวิจารณ์เปรียบเทียบ การออกแบบโลโก้ พร้อมกับให้คะแนน

ทำให้ชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นว่าเนื้อหาของคลิป เหมือนตั้งใจด้อยค่าการทำงานของคนอื่น ทำให้คนที่ไม่เคยทำงานสายออกแบบเข้าใจว่า งานออกแบบไม่ควรจ้างในราคาแพงๆ ทั้งที่ตัวปั๋นเองก็เป็นศิลปินนักออกแบบเหมือนกัน ขณะที่ศิลปินบางส่วนที่เป็นผู้ออกแบบก็เผยว่า ได้รับการวาจ้างในระยะเวลากระชั้นชิด ไม่มีการกำหนดคอนเซปต์เรื่อง Mood and Tone โลโก้ที่เห็นก็ยังไม่ใช่งานไฟนอลที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว นอกจากนี้ยังไม่มีการแจ้งว่าจะถูกนำไปเผยแพร่ทำเป็นคอนเทนต์เปรียบเทียบผลงาน เหมือนโดนหลอก

เรื่องราวเริ่มร้อนแรงจนกระทั่ง ปั๋น Riety ได้ลบคลิป พร้อมขอโทษ โดยระบุว่า ยอมรับว่าทผิดที่ทำคลิปและคอนเทนต์นี้ขึ้นมาจนทำให้คนจำนวนมากรู้สึกแย่ ความตั้งใจจริงของตนคือ อยากให้สังคมวงกว้างเข้าใจว่างานออกแบบมีราคา มีค่าวิชาชีพ และไม่ควรหวังให้ดีไซเนอร์ทำงานเกินราคา แต่ตนไม่สามารถสื่อสารเรื่องนี้ออกมาได้ดี กลับกลายเป็นสร้างผลลัพธ์ในทางลบแทน ตนไม่มีเจตนายกตนหรือข่มดีไซเนอร์ท่านอื่น จะเก็บไปปรับปรุงตัวเอง คิดถี่ถ้วนมากขึ้นในการทำคอนเทนต์ และไม่ทำคอนเทนต์ที่มีการดึงบุคคลอื่นเข้ามาร่วมในลักษณะนี้อีก

3.เมียหลวงออกโรงดับเครื่องชน "แม่น้ำหนึ่ง" เป็นมือที่สามทำลายครอบครัว เจ้าตัวโต้เป็นแค่เจ้านายกับลูกน้อง

02

สร้างความฮือฮาเรื่องการใบ้เลขเด็ดมานาน สำหรับ "แม่น้ำหนึ่ง" แต่หลังๆ เลขเด็ดของเจ้าตัวอาจจะไม่ค่อยเข้าเป้าเหมือนเคยจนกระแสซาลงไปบ้าง แต่จู่ๆ แม่น้ำหนึ่ง ก็กลับมายึดพื้นที่สื่ออีกครั้ง เมื่อมีสาวรายหนึ่งชื่อว่า "เอิร์น" อ้างว่าถูก เจ้าแม่ใบ้หวยคนดังแย่งผัว ทั้งที่เมียหลวงยังต้องเลี้ยงดูลูกเล็กๆ 2 คน โดยเมียหลวงเผยว่า แม่น้ำหนึ่งกับสามีของเธอสนิทสนมกันเกินไป มีทั้งคลิปที่แม่น้ำหนึ่งขึ้นไปเหยียบหลังให้กับสามีของเธอ

แม่น้ำหนึ่ง ไม่ปล่อยให้เรื่องอื้อฉาวก็รีบออกมาชี้แจงผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ตนเป็นเจ้านายของ "นายฟิล์ม" สามีของคู่กรณีจริง ตนมีความสนิทสนมกับลูกน้องทุกคน ถ้าฝ่ายหญิงมั่นใจว่าตนมีความสัมพันธ์จริง ให้เอาหลักฐานมาฟ้องได้เลย

เรื่องราวบานปลายไม่จบ เมื่อต่างฝ่ายต่างออกาตอบโต้กัน และงัดหลักฐานทั้งคลิป และคำบอกเล่าจากคนใกล้ตัว ซึ่ง น้องเอิร์น ฝ่ายเมียหลวงควงทนายโนบิตะแถลงว่าที่ต้องออกมาในครั้งนี้ก็เพราะว่าจำเป็นจะต้องปกป้องสิทธิของการเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมาย และเรียกร้องสิทธิให้แก่ลูกทั้งสองที่ยังเด็ก การฟ้องร้องคดีในครั้งนี้ตนต้องจะการพิสูจน์ให้สังคมทราบกับสิ่งที่ตนถูกกระทำเป็นเรื่องจริง ตั้งแต่ทราบเรื่องดังกล่าวตัวเองก็เจ็บปวดและเก็บซ่อนน้ำไว้ไม่ให้ลูกเห็น จนกระทั่งวันที่ลูกเดินทางไปเที่ยวจังหวัดระยองโดยลูกสาววัย 8 ขวบได้นั่งรถไปกับนายฟิล์มซึ่งเป็นพ่อและเจ้าแม่ใบ้หวยคนดัง ลูกสาวได้เล่าให้ฟังว่าเจ้าแม่คนดังได้หอมแก้มพ่อต่อหน้าลูกของตนเอง เมื่อตนได้ยินจนถึงขั้นตกใจและใจแตกสลาย

ตลอดเวลาที่เป็นเรื่องนั้น ฝ่ายตรงข้ามพยายามที่จะคุกคามต่างๆ นานา ส่งคนมาพูดจาข่มขู่ ว่าอย่าเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง ระวังจะติดคุกหัวโตไม่มีคนเลี้ยงลูก ที่ผ่านมาตนเองต้องอดทนเป็นอย่างมากจนกระทั่งตัดสินใจที่จะยื่นฟ้องหย่าสามีและเรียกค่าทดแทนจากเจ้าแม่หวยคนดังในวันนี้ โดยตนเองจะเป็นผู้ดูแลลูกทั้งสองคนแต่เพียงผู้เดียว โดยจะยื่นฟ้องหย่าสามี เรียกค่าทดแทนและค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร คนละ 5,000 จนกว่าบุตรทั้งสองจะบรรลุนิติภาวะ และฟ้องเรียกค่าทดแทนจาก แม่น้ำหนึ่ง จำนวน 300,000 บาท ส่วนเรื่องราวจะจบอย่างไรคงต้องมารอติดตามกันตอนต่อไป

4.ดราม่าความศรัทธา "นัท นิสามณี" แต่งเป็น พระพุทธเจ้า ฉลองวันฮาโลวีน

242803878_438644927623437_133

วันฮาโลวีนที่ผ่านมา มีเรื่องเดือดเมื่อ บิวตี้บล็อกเกอร์ชื่อดัง "นัท นิสามณี" หรือ "นัท สะบัดแปรง" ได้เผยแพร่ภาพการแต่งตัว-แต่งหน้าสวมชุดเลียนแบบทั้งพระแม่กาลี พระเยซู เจ้าแม่กวนอิม แต่ที่เกิดเสียงตำหนิสนั่นที่สุด นั่นคือลุค "พระพุทธเจ้า" จนชาวเน็ตที่เห็นต่างออกมาวิจารณ์กันเป็นจำนวนมากว่าไม่มีความเหมาะสม ไม่รู้กาลเทศะ ทำให้ชาวพุทธบางส่วนไม่สบายใจ

ซึ่ง นัท ได้ระบุว่า “การทำ Halloween ปีนี้คือมิติใหม่สำหรับนัทมาก ไม่ใช่แค่การแต่งผี แต่งเลือดแล้ว คอนเซปต์ลึกลงไปกว่าแค่ลุคว่าต้องใหญ่ต้องอลัง แต่ได้ทำในสิ่งที่แลกเปลี่ยนมุมมองความคิดกับคนอื่น เรื่องความเชื่อ คือเรื่องที่น่าสนใจมากๆ เพราะทุกคนมีความเชื่อในแบบของตัวเอง แล้วเมื่อมีบางอย่างที่ไม่ตรงใจมากระทบจะทำอย่างไรกับสิ่งนี้ ส่วนตัวนัทยืนยันว่าทุกลุคที่ออกมาตั้งใจทำทุกขั้นตอน ลงทุนลงแรงเต็มที่ ไม่ดูถูกคนเสมอ”

หลังเจอชาวเน็ตวิพากษ์วิจารณ์แบบหนักหน่วง ทางด้าน "นัท นิสามณี" ก็ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กว่า "บางสิ่งที่เราคิดว่าบาป ใคร คิด ใครกำหนด" หรือ "หากมองให้เกิดปัญญา ปัญญาก็จะเกิด หากมองให้เกิดปัญหา ปัญหาก็จะเกิด" ซึ่งก็มีชาวเน็ตบางส่วนแสดงความคิดเห็นให้การสนับสนุนเธอ โดยระบุว่า ศาสนาพุทธสอนให้คนไม่ยึดติด การที่จะแต่งอะไรนั้นก็เป็นสิทธิและความเชื่อของแต่ละคน


5.#คลับเฮ้าส์toxic เปิดกลุ่มเหยียดคนอีสาน สะท้านไปทั้งแผ่นดิน

5_327

เป็นประเด็นร้อนสะท้านไปทั้งประเทศ เมื่อมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งนำโดย "นายปลั๊ก" ได้เปิดห้องในคลับเฮาส์ ก่อนจะทำการพูดจาเหยียดหยามคนอีสานด้วยถ้อยคำที่รุนแรง เช่น คนอีสานกินหมา คนอีสานผิวคล้ำ ดำแดดเพราะแบกปูน ไม่มีการศึกษา ต้องมาเป็นคนรับใช้คน กทม. ชอบมีลูกตั้งแต่เด็ก ชอบเป็นเมียน้อย ฯลฯ

นอกจากนี้ ยังมีการพูดถึง ลิซ่า แบล็คพิงค์ ที่เป็นชาวบุรีรัมย์อีกด้วย ลุกลามไปถึงศิลปินเกาหลีอื่นๆ จนชาวโซเชียลที่ทราบข่าวต่างไม่เข้าใจการกระทำของคนกลุ่มนี้ว่า ทำไปเพื่ออะไร จนพากันติดแฮชแท็ก #คลับเฮ้าส์toxic ส่วน "หนุ่ม กรรชัย" เมื่อได้รับทราบ ก็ได้ท้าให้คนที่ไปพูดในคลับเฮ้าส์บอกว่า "อย่าเก่งแต่ปาก" ให้มาออกรายการโหนกระแส แต่กลับกลายเป็นว่ามีคนไปพูดด่าหนุ่ม กรรชัย อีกรอบ

กระแสดราม่าร้อนแรงเพิ่มขึ้น เมื่อชาวเน็ตสวมบทเป็นนักสืบโซเชียล ไล่ล่าขุดประวัติกลุ่มคนที่พูดเหยียดคนอีสาน บางคนเป็นดาว TikTok แถมมีพื้นเพมาจาก จ.อุดรธานี จนแม่ของสาวรายนี้ถึงกับร่ำไห้ที่รู้ว่าลูกของตนมีพฤติกรรมที่ชอบดูถูกคนอื่น ขณะที่บางคนก็ไม่แคร์ใดๆ อ้างว่าเป็นสิทธิที่จะพูดอะไรก็ได้ตามที่คิด และยังถ่ายรูป โพสต์แคปชั่นแบบไม่สนใดๆ ส่วนนายปลั๊กตัวตั้งตัวตีก็ทนกระแสสังคมไม่ไหว ก็ได้ออกมากล่าวขอโทษเช่นกัน ขณะที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าบุคคลเหล่านี้ ยังไม่มีการสำนึกผิดจริงๆ ยังคงคิดว่าการได้เหยียบย่ำคนอื่นคือความบันเทิง และจับตาว่าจะทำแบบนี้อีกหรือไม่

6.มิ้นต์ I Roam Alone บินเดี่ยวไปเที่ยว อัฟกานิสถาน

179050

ยูทูบเบอร์สาวชื่อดัง มิ้นท์ มณฑล กสานติกุล หรือ มิ้นท์ I Roam Alone ได้โพสต์เฟซบุ๊กตัดสินใจเดินทางไปยัง อัฟกานิสถาน คนเดียว ในขณะที่หลายคนได้ออกมาทักท้วงเรื่องความปลอดภัย เพราะช่วงนั้นเริ่มมีข่าวว่ากลุ่มตาลีบันได้ยึดเมืองได้หลายแห่งแล้ว แต่เจ้าตัวให้เหตุผลว่าที่ตัดสินใจไปเพราะครั้งนี้อาจจะเป็นโอกาสสุดท้าย ที่ไม่รู้ว่าอนาคตจะได้ไปอีกหรือไม่ อยากรู้ว่าประเทศที่ คนมีความสุขน้อยที่สุดในโลก มีชีวิตความเป็นอยู่กันอย่างไรท่ามกลางสงครามแบบนี้

เมื่อเจ้าตัวเดินทางไปถึงก็ได้อัพเดตสถานการณ์เป็นระยะๆ จนเกิดเเหตุเที่ยวบินถูกยกเลิกทั้งหมด เนื่องจากกลุ่มตาลีบันทำการโจมตีใกล้กับสนามบินในเมืองที่อยู่ ซึ่งมิ้นต์เผยว่าไม่ต้องเป็นห่วงเพราะได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านของไกด์ ทำให้หลายคนที่รู้ข่าวตั้งคำถามว่า ถ้ารู้ว่าไปแล้วอันตราย จะไปทำไม อาจจะเป็นการลำบากคนอื่น หากโดนจับขึ้นมาก็ต้องลำบากรัฐไปเจรจาค่าไถ่อีก สื่อขนาดใหญ่บางแห่งที่เข้าไป ยังต้องไปกับเจ้าหน้าที่ยูเอ็นหรือมีการคุ้มกันที่แน่นหนา

จากนั้นแฟนคลับที่ติดตามและผู้คนที่ติดตามข่าวต่างก็ออกมาแสดงความคิดเห็นฟาดฟันกันอย่างเผ็ดร้อน บางส่วนตำหนิที่ มิ้นต์ โพสต์รูปคู่กับไกด์ผู้หญิง อาจจะทำให้ไกด์เป็นอันตรายได้ ในขณะที่ชาวเน็ตอีกด้านหนึ่งก็เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของ เพราะการโพสต์ความเคลื่อนไหวทางโซเชียล จะเป็นการชี้เป้าให้ผู้ก่อการร้ายได้ นอกจากนี้ยังมีการตอบโต้กันระหว่างยูทูบเบอร์สาวกับชาวเน็ต เรื่องการติดต่อข้อมูลกับทางสถานทูต

สุดท้ายแล้ว มิ้นต์ก็ตัดสินใจกลับเมืองไทยด้วยความปลอดภัย แต่หลังจากนั้นเพียงไม่นาน กลุ่มตาลีบันก็ได้ยึดครองอัฟกานิสถานได้สำเร็จ ทำให้ประธานาธิบดีเองก็ต้องหนีตาย ส่วนประชาชนจำนวนมากก็หาทางที่จะเอาตัวรอดหนีออกจากประเทศ จนมีภาพสะเทือนใจเมื่อมีประชาชนจำนวนหนึ่งกระโดดเกาะเครื่องบิน แต่ต้องตกลงมา นับเป็นเหตุการณ์ดราม่าที่ลากยาวและก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์บนโลกออนไลน์ของไทยอย่างอื้ออึงช่วงหนึ่งเลยทีเดียว

7.#อินฟลูก๊อปบ้าน "เฟิร์น ศุภนารี" ก๊อปปี้สไตล์แต่งบ้าน "นับเงิน" เหมือนยันหมอน

supanaree-story-1-e1573703340

กลายเป็นดราม่าร้อนบนโลกออนไลน์ สำหรับแฮชแท็ก #อินฟลูก๊อปบ้าน เมื่อ "นับเงิน" ยูทูบเบอร์ชื่อดัง เผยว่าโดนยูทูบเบอร์สาวคนหนึ่ง ก๊อปการแต่งบ้านชนิดที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว ตั้งแต่โซฟา โต๊ะกินข้าว หรือกระทั่งหมอน แถมใช้อินทีเรียคนเดียวกันด้วย ซึ่งอินฟลูเอนเซอร์รายนี้คือ "เฟิร์น ศุภนารี" ยังได้ทำคลิป Home Tour จนคนนึกว่าเป็นบ้านฝาแฝด

ด้าน นับเงิน เผยว่าตนเองได้ทำคลิปการตกแต่งบ้านใหม่ บอกหมดทุกอย่างว่าอะไรซื้อที่ไหน รวมถึงชื่อของอินทีเรีย ตนไม่หวงเลยถ้าใครจะเอาไอเดียไปแต่งบ้านตัวเอง อินทีเรียโทรมาถามว่ามีคนอยากได้บ้านแบบนี้ ตนจะว่าอะไรไหม ตอนนั้นตนไม่ติดอะไร เพราะคิดว่าเป็นแฟนคลับดูแล้วชอบ ได้แรงบันดาลใจ แต่กลายเป็นว่าคนที่อยากได้บ้านคือ เฟิร์น ศุภนารี ที่เป็นอินฟลูเอนเซอร์เหมือนกัน ซึ่งเอาไอเดียของตนไปทำยูทูบ ซึ่งอยู่ในสายงานเดียวกัน และเป็นสิ่งที่สามารถสร้างรายได้ ทำให้ตนรู้สึกไม่สบายใจ

จากนั้น เฟิร์น ศุภนารี ได้ยกหูโทรศัพท์มาขอโทษ นับเงิน โดยอินทีเรียบอกตนว่านับเงินให้ใช้ได้ บ้านที่้ซื้อเป็นบ้านสำเร็จรูป ไม่ได้ออกแบบแปลนบ้านเอง ตนชอบแบบนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องเปลี่ยนอะไร นับเงินไม่เคยบอกว่าการตกแต่งบ้านเอาไปตกแต่งบ้านได้ แต่ห้ามหาเงินกับมัน ไม่เคยมีการแจ้งไว้ ขอโทษด้วยที่ทำให้ไม่สบายใจ แต่ยืนยันว่าจะไม่ลบคลิปแน่นอน และจะไม่ขอทะเลาะกับใครผ่านโซเชียล

8.ทัวร์ลง! "แม็กซ์ อชิระ" คะนองปาก คนใส่รองเท้าแตะ อย่าให้เจอจะถีบหน้า!

unnamed

เรื่องวุ่นๆ ของยูทูบเบอร์ชื่อดังยังไม่แผ่ว เมื่อ "แม็กซ์-อชิระ เอทเตอร์" เจ้าของช่อง Maxed Out Style ที่ได้ออกมาทำคลิปวิดีโอ เรื่องการแต่งกายในปี 2021 ที่ไม่ควรใส่อีกแล้ว เช่น อย่าใส่รองเท้าวิ่งกับกางเกงยีน อย่าใส่แบรนด์ที่เป็นคู่แข่งกัน อย่าใส่แบรนด์เนมทั้งตัวเพราะดูปลอม แต่มีประโยคหนึ่งที่จุดชนวนเดือดบนโลกออนไลน์ เมื่อเจ้าตัวบอกว่า ไม่ควรใส่รองเท้าแตะ อย่าใส่ใจแต่ความสบายของตัวเอง ให้ใส่ใจความสบายของคนอื่นด้วย นอกจากนี้ยังพูดติดตลกถึงคนที่ยังอยากใส่รองเท้าแตะว่า “ใส่ไปเลยครับ อย่าให้เจอผมนะ เพราะผมจะใส่จอร์แดนแล้วเข้าไปถีบหน้า” พร้อมกับหัวเราะ

คลิปดังกล่าวกลายเป็นดราม่าร้อน ผู้คนแห่ติดแฮชแท็ก #Saveรองเท้าแตะ ส่วนใหญ่มองว่าเป็นคอนเทนต์ที่ดูถูกรสนิยมคนอื่น การแต่งตัวเป็นเรื่องของรสนิยม ความชอบ และไลฟ์สไตล์ ไม่มีถูกผิด สิ่งที่ควรต้องมีในปี 2021 และทุกปีคือมารยาทต่างหาก

ต่อมา แม็กซ์ อชิระ ได้ออกมาโพสต์ขอโทษผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า “ผมแม็กซ์ อชิระ มีความรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับสิ่งที่พูดไปในคลิป maxed out style ครับ ผมขอโทษและขออภัยที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อความรู้สึกของทุกท่าน ผมขอน้อมรับความผิดพลาดนี้พร้อมรับฟังทุกข้อเสนอแนะ คำติชมของทุกท่าน และต่อจากนี้ผมจะไตร่ตรองและระมัดระวังให้ดีกว่านี้ ผมขอโทษทุกคนจากใจจริงครับ”

9.ดราม่ากระเป๋าแบรนด์เนม แม่ค้าซัด "ของปลอม" บอกถ้าเป็นของแท้จะจ่าย 2 ล้าน เลิกเป็นกะเทย เปลี่ยนชื่อเป็น "สรพงษ์"

590243

เป็นดราม่าร้อนแรงที่สุดส่งท้ายปี กระเป๋าแบรนด์เนมยี่ห้อ “Hermès” หรือ "แอร์เมส" ที่ น.ส.จิดาภา ชีนารักษ์ อายุ 24 ปี หรือ น้องชมพู่ เจ้าของกระเป๋าได้ส่งขายให้กับ เจ๊ทีน่า หรือนายณภาภัช ระหงษ์ โดยเจ้าของร้านตกลงรับซื้อในราคา 395,000 บาท ต่อมา เจ้าของร้านรับซื้อกลับบอกว่ากระเป๋าใบดังกล่าวเป็นของปลอม พร้อมทั้งเขียนคำว่า "ปลอม" ลงบนหน้ากระเป๋า และไม่ยอมคืนกระเป๋าให้น้องชมพู่ พร้อมประกาศว่าหากตรวจแล้วว่าเป็นของจริงจะโอนเงินให้ 2 ล้านบาท พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็น “สรพงษ์” และจะเลิกเป็นสาวประเภทสองด้วย

ต่อมาทางเจ๊ทีน่าบอกว่า ได้โอนเงินให้กับ น้องชมพู่ เจ้าของกระเป๋าแล้ว เพราะอยากจะแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้ตั้งใจโกง แต่น้องชมพู่ ยืนยันว่าจะไม่ขอรับเงินคืนเด็ดขาด เนื่องจากก่อนหน้านี้ทางร้านได้ประกาศออกมาว่าหากผลตรวจออกมาเป็นของแท้ก็จะยอมจ่ายในราคา 2 ล้านบาท และจะเลิกเป็นกะเทย พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น สรพงษ์ จากนั้นน้องชมพู่ ได้นำกระเป๋าใบนี้เข้าไปให้สถาบันตรวจกระเป๋าชื่อดังระดับประเทศแห่งหนึ่งทำการตรวจสอบ ก่อนจะพบว่าเป็นของแท้

ในเวลาต่อมาทั้งคู่ได้มาเผชิญหน้ากันทางรายการทีวี โดยเจ๊ทีน่าเผยว่า จะจ่ายค่าเสียหายที่ 3.95 แสนบาทเท่านั้น ตามราคาเดิมที่เคยตกลงกันในทีแรก ส่วนที่ลั่นวาจาว่าจะจ่ายให้ 2 ล้าน หากพิสูจน์มาแล้วว่าใบนี้แท้ ตนแค่พูดสนุกๆ ส่วนเรื่องที่ว่าจะเลิกเป็น กะเทย นั้น มันเลิกเป็นไม่ได้ ส่วนชื่อ สรพงษ์ พรุ่งนี้จะไปเปลี่ยนให้ที่เขต แต่น้องชมพู่ก็ยังคงยืนกรานว่าไม่ยอม ต้องให้แม่ค้าทำตามที่ลั่นวาจาเอาไว้

ล่าสุด เจ๊ทีน่า ก็ได้โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า "เกิดปีที่ใช้ ส. ไม่ได้ค่ะถ้าใช้จะดุมาก กาลกิณี ป. เท่านั้นจะชนะทุกอย่าง ลุงตู่หนูขออนุญาตนะคะ ประยุทธ์ เนตรระหงษ์ คือโชคดีมีความสุขจบ"

ส่วนท นางสาวจิดาภา เจ้าของกระเป๋า ได้กล่าวขอบคุณทุกๆ กำลังใจที่ส่งมอบให้ตนในระหว่างที่เกิดเรื่องราวดราม่าบนโลกโซเชียล ขณะนี้เรื่องคดีก็ขอให้ตำรวจและทนายดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด และตนขอยืนยันคำเดิมว่าจะรับคำขอโทษเป็นเงินสด 2 ล้านบาทเท่านั้น

10.นักรีวิวหรือขอทาน? กลุ่มคนรักบุฟเฟต์ เบ่งขอกินฟรี พอพนักงานไม่ให้กร่างขู่จะแบนร้าน

257591847_268822291876474_171

กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงกันในวงกว้าง เมื่อหนุ่มแอดมินรายหนึ่งในกรุ๊ปรีวิวอาหารชื่อดังบนเฟซบุ๊ก ทำตัวกร่าง ขู่แบนทางร้านจากกรุ๊ปดัง แต่สุดท้ายเจอเจ้าของร้านแฉกลับ จนต้องปิดกรุ๊ปหนี

เรื่องนี้เริ่มจาก ร้านอาหารบุฟเฟ่ต์แห่งหนึ่งได้มอบบัตรกำนัลให้กับทางแอดมินจำนวน 2 ใบ โดยแลกกับการรีวิวอาหารในร้าน แต่แอดมินได้พาเพื่อนไปเพิ่มรวมเป็น 4 คน แต่มีบัตรกำนัลมีแค่ 2 ใบ ทำให้ทางร้านต้องขอให้มีการชำระเงินเพิ่มอีก 2 คน แต่แอดมินไม่ยอม กลับขู่ทางร้านว่าจะแบนออกจากกลุ่ม รวมไปถึงตัวร้านอาหารและสินค้าในเครือของทางร้านให้หมด จากนั้นทางร้านบุฟเฟ่ต์ได้นำแชตมาเปิดเผย จนทำให้แอดมินงานเข้าอย่างหนัก สมาชิกที่อยู่ในกรุ๊ปต่างรับไม่ได้ เพราะพฤติกรรมเหมือนขอทานมากกว่านักรีวิว นอกจากนี้การนำยอดสมาชิกไปใช้เพื่อหาประโยชน์ส่วนตัวนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง

ต่อมามีการขุดจนทราบว่า แอดมินรายนี้ได้รับทุนวิจัยจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง จนมีการรวมตัวเรียกร้องให้ถอดชื่อแอดมินรายนี้ออกจากการได้รับทุนวิจัย นอกจากนี้ ยังมีการไปสืบเพิ่มว่า แอดมินรายนี้ยังเคยโพสต์ประกาศขายบัตรกำนัลจากร้านอาหารต่างๆ ที่คาดว่าได้มาฟรีอีกด้วย เรียกว่างานเข้าไม่หยุด

จากนั้นเจ้าของกลุ่มคบุฟเฟ่ต์ ได้ออกมาขอโทษต่อการกระทำของแอดมินรายนี้ และประกาศให้พ้นสภาพการเป็นแอดมินกลุ่ม ส่วนเจ้าตัวได้โพสต์ข้อความขอโทษทางร้านต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รู้สึกเสียใจต่อสิ่งทำไป ทั้งหมดเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ จะนำบทเรียนที่เกิดขึ้นครั้งนี้มาปรับปรุงแก้ไข และระมัดระวังคำพูดและการกระทำต่างๆ ในอนาคตให้มากขึ้น

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส