จากกรณีเหตุการณเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2564 เวลาประมาณ 20.30 น. สามีทราบชื่อนายสมศักดิ์ จันทร์เผือก อายุ 35 ปี ใช้อาวุธปืนไทยประดิษฐ์ ขนาด 380 จำนวน 1 กระบอก ยิงเข้าที่บริเวณท้ายทอยและโหนกแก้มของ นางกนกพร ชมชื่น อายุ 29 ปี ภรรยา จนได้รับบาดเจ็บนอนจมกองเลือด
และได้ใช้อาวุธปืนยิงตัวเองเข้าที่บริเวณท้ายทอย 1 นัด แต่เนื่องจากวิถีกระสุนเฉียด ทำให้ลูกกระสุนไม่ถูกจุดสำคัญ ผู้ก่อเหตุมีเพียงแค่เลือดไหลออกมา จากนั้นก็ใช้อาวุธปืนยิงบริเวณกำแพงบ้านไปหลายนัด
วันที่ 9 ธันวาคม 2564 ทีมข่าวย้อนกลับไปยังจุดเกิดเหตุบริเวณอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น ต.พยอม อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา
นายนเรศ สมพงศ์ อายุ 39 ปี เพื่อนบ้าน บอกว่า คืนที่เกิดเหตุตนกับครอบครัวออกไปกินข้าวกันข้างนอก กลับมาอีกที 22.00 น. ตอนนั้นเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจและกู้ภัยมากันเต็มหมดแล้ว พอทราบว่าทั้งคู่ยิงกันก็ตกใจมาก เพราะที่อาคารนี้นอกจากครอบครัวตนก็มีแค่ทั้งคู่ที่อาศัยอยู่ ส่วนห้องอื่นไม่มีผู้เช่า
เท่าที่ตนได้รู้จักกับทั้งคู่ จะเห็นว่านายสมศักดิ์เป็นคนนิสัยดี เจอหน้าก็ยิ้มแย้ม ทักทายกันปกติ ส่วนนางสาวกนกพรเป็นคนนิ่ง ๆ ไม่ค่อยออกมาจากห้อง ตนไม่ค่อยได้พูดคุยด้วย แต่ดูแล้วก็จิตใจดี ไม่เคยมีปัญหากับตน เท่าที่เห็นทั้งคู่มีเพื่อนแวะเวียนมาหาอยู่ตลอด โดยตนลุกขึ้นมาขายของตอนเช้าจนถึงค่ำมืดทุกวัน จะเห็นว่าเพื่อนของนายสมศักดิ์ส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ชาย ส่วนเพื่อนของนางสากนกพรส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้หญิง ไม่ได้มีอะไรผิดสังเกตในเชิงชู้สาว แต่อาจมีบ้างที่ทั้งคู่ทะเลาะกันเสียงดังลั่นออกมานอกห้อง แต่ตนก็จับใจความไม่ได้ว่าเขาพูดอะไรบ้าง างทีก็เป็นเสียงลูกเขาร้อง เพราะเขามีลูก 2 คน ลูกสาวประมาณ 5 ขวบ และลูกชายอายุประมาณ 3 ขวบ
สำหรับการเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนคิดไม่ถึงเลยว่านายสมศักดิ์จะลงมือทำได้ถึงขนาดนี้ เพราะอย่างที่บอกว่าดูเผิน ๆ เขาเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส มองว่าทำเกินไป เพราะถ้าหากว่ามีใครเสียชีวิตขึ้น คนที่น่าสงสารที่สุดก็คือลูกทั้ง 2 คน
นายสุรินทร์ สิงห์ตุ่น อายุ 37 ปี เจ้าหน้าที่มูลนิธิพุทไธสวรรย์ อยุธยา จุดกิตติ-500 วังน้อย เล่าเหตุการณ์ว่า ตนได้รับแจ้งตอนประมาณ 19.40 น. โดยหลานสาวของทั้งคู่โทรเข้ามาที่ศูนย์ บอกว่ามีเหตุยิงกัน เมื่อตนเดินทางไปถึง ก็ได้สอบถามกับหลาน จึงทราบว่ามีการยิงกันเกิดขึ้นจริง ก็ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เข้ามาตรวจสอบ
ต่อมาเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงก็ได้เข้าไปที่ชั้น 4 ของอาคาร พบว่าภายในห้องร่างของนางสาวกนกพรนอนหงายจมกองเลือด ดวงตายังเปิดอยู่แต่อ่อนแรง ปากอ้า ไม่มีเสียงร้องขอความช่วยเหลือ จนกระทั่งนำตัวส่งโรงพยาบาลก็จะต้องเรียกตลอดเวลา ส่วนนายสมศักดิ์นั่งอยู่ที่บันใดทางลงหน้าห้อง ในสภาพอ่อนแรง สีหน้าแววตาดูเศร้าหมองซึม คล้ายคนเมา มีแผลถลอกบริเวณที่หัวและคาง เจ้าหน้าที่จึงทำการยึดอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุ หลังจากนั้นมีโอกาสได้คุยกับหลานของทั้งคู่จึงทราบว่าก่อนที่จะเกิดเหตุยิงกันทั้งคู่มีปากเสียงทะเลาะกันก่อน
ในส่วนของความคืบหน้าทางคดี ร.ต.อ.ภูวสิษฐ์ กิตติ์นิธิรัชฎ์ รอง สว.(สอบสวน) สภ.วังน้อย ระบุว่า นางสาวกนกพรถูกส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลภัทร-ธนบุรี จ.ปทุมธานี ตามสิทธิ์ประกันสังคม อาการล่าสุดพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่กระสุนยังฝังในตรงบริเวณแก้มและคอ อยู่ระหว่างรอการผ่าตัด และห้ามญาติเยี่ยม ส่วนนายสมศักดิ์หลังจากญาติเดินทางเข้าประกันตัวด้วยหลักทรัพย์เงินสด 500,000 บาทเมื่อวานนี้ ก็ถูกส่งไปรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา จ.อยุธยา อาการล่าสุดกระสุนฝังอยู่ในสมอง แต่รู้สึกตัว และห้ามญาติเยี่ยม
ซึ่งระหว่างนี้ตำรวจจะทำการตรวจสอบพยานหลักฐานในจุดเกิดเหตุเพื่อประกอบการดำเนินคดี และหากนายสมศักดิ์อาการดีขึ้น หมออนุญาตให้เข้าเยี่ยมได้ ก็จะมีการเดินทางเข้าไปสอบปากคำที่โรงพยาบาลทันที ส่วนคำสารภาพบอกว่าทำไปเพราะหึงหวงเข้าใจว่าภรรยานอกใจไปคุยกับคนอื่นทางเฟซบุ๊ก จึงหวาดระแวงว่าภรรยาจะแอบมีชายอื่น ทำให้มีปากเสียงกันบ่อยครั้ง
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งข้อหากับนายสมศักดิ์ 3 ข้อคือ พยายามฆ่า, มีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับหรือญาต, ยิงปืนที่มีดินปืนในหมู่บ้านโดยไม่ได้อนุญาต
