จากกรณีนางสาวทราย อายุ 48 ปี ได้เข้าแจ้งความ ที่สน.วังทองหลาง เนื่องจากถูกนางสาวนุ่น อายุ 26 ปี อดีตเพื่อนสนิท แย่งนายยุ อายุ 40 ปี สามี และนางสาวนุ่นกำลังตั้งครรภ์ อีกทั้งนางสาวทรายยังถูกทำร้ายร่างกายด้วยนั้น
วันที่ 1 ธันวาคม 2564 นางสาวทราย ผู้เสียหาย เล่าว่า ตนเป็นพนักงานร้านเสริมสวย โดยเมื่อปี 2557 ตนก็ได้รู้จักกับนางสาวนุ่นที่เข้ามาเป็นพนักงานใหม่ ทำให้ตนกับนางสาวนุ่นสนิทสนมกัน จากนั้นในปี 2558 ตนก็ได้รู้จักกับนายยุ ผ่านงานรับเหมาติดวอลเปเปอร์และตกแต่งภายในบ้านที่ตนทำเป็นงานเสริม จนกระทั่งปี 2559 ตนก็ได้ลาออกจากร้านเสริมสวย หันมาทำงานรับเหมาติดวอลเปเปอร์กับนายยุเต็มตัวจนถึงปัจจุบัน แต่ตนก็ยังคงติดต่อนางสาวนุ่นอยู่ตลอด
เดือนมิถุนายน 2564 นางสาวนุ่นตกงาน เนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ตนสงสาร จึงได้ชวนนางสาวนุ่นมาพักอยู่ด้วยกันกับตนและสามี อยู่ห้องเดียวกัน 3 คนย่านพัฒนาการ และได้พานางสาวนุ่นไปรับเหมาทำงานด้วยกัน โดยในเดือนกรกฎาคม 64 สามีของตนได้ออกไปรับงานติดวอลเปเปอร์ ส่วนนางสาวนุ่นได้ออกไปหาเพื่อน ตนเริ่มเอะใจ เนื่องจากทั้ง 2 คนไม่ค่อยอยู่ห้อง อีกทั้งตนโทรติดต่อก็ไม่ค่อยรับสาย ตนจึงได้ถามสามี แต่สามีไม่ตอบ ส่วนนางสาวนุ่นยอมรับว่าแอบไปเที่ยวกับสามีของตน เมื่อเกิดเหตุขึ้นนางสาวนุ่นก็ได้ย้ายออกไปพักที่อื่น แต่สามีของตนยังไม่ยอมจบ ยังคงตามไปหานางสาวนุ่นอยู่บ่อย ๆ บางครั้งก็หายตัวไปทั้งสัปดาห์ ไม่ยอมทำงาน ตนจึงตัดสินใจหนีไปอยู่ที่อื่น ไม่ติดต่อกับสามีและนางสาวนุ่นอีก
กระทั่งปลายเดือนสิงหาคม 2564 นายยุก็ได้ตามหาตัวตนพบ พร้อมขอโทษและรับปากว่าจะเลิกขาดกับนางสาวนุ่น ตนจึงให้โอกาสสามีอีกครั้ง และได้ย้ายมาอยู่กับสามีที่คอนโดแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าว แต่ต้นเดือนกันยายน 2564 นางสาวนุ่นพบตนกับสามีที่คอนโด พร้อมบอกว่าตัวเองตั้งครรภ์ จากนั้นสามีของตนก็กลับไปมาหาสู่กับนางสาวนุ่น ขอมี 2 บ้าน แต่ตนไม่ยินยอม
ต่อมา 15 กันยายน 2564 เวลา 23.30 น. ตนนำเสื้อผ้ามาซักบริเวณใต้คอนโด เมื่อกลับขึ้นไปพบว่านายยุได้ทุบโทรศัพท์ของตัวเองจนหน้าจอแตก นายยุโมโหพูดว่าตนรับงานรับเหมาติดวอลเปเปอร์ตัดหน้า ตนจึงอธิบายว่ารับงานมาก็ต้องทำด้วยกันอยู่ดี แต่นายยุไม่ฟัง ด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ใช้มือทุบตี ต่อยตามร่างกาย ใช้บุหรี่จี้คอ หยิบมีดทำครัวใช้สันมีดฟันลงบริเวณกลางศีรษะของตน ต้องเย็บ 6 เข็ม ตอ่มา 10 พฤศจิกายน 2564 นางสาวนุ่นย้ายมามาอยู่คอนโดเดียวกันแต่คนละห้อง เนื่องจากนางสาวนุ่นไม่มีเงินจ่ายค่าห้องที่ห้องเช่าเดิม นายยุจึงชวนมาเช่าห้องในคอนโดเดียวกัน วันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 เวลา 23.30 น. ตนนอนอยู่คนเดียวในห้อง ส่วนนายยุอยู่กับนางสาวนุ่น
วันที่ 29 พฤศจิกายน 64 ตนและนายยุได้นั่งรถกระบะไปทำงานรับเหมาติดวอลเปเปอร์ด้วยกันย่านสุขุมวิท แต่เนื่องจากมีปากเสียงกันเกี่ยวกับนางสาวนุ่น นายยุกำหมัดแล้วตบหน้าตน 1 ครั้ง ตนจึงขอลงกลางทาง แล้วเรียกรถจักรยานยนต์รับจ้างกลับคอนโดฯ โดยเดินทางมาถึงลานจอดรถของคอนโดฯ เวลา 9.00 น. เพื่อจะขับรถจักรยานยนต์ไปทำงาน พบเห็นนายยุวนรถกระบะกลับมาที่คอนโด มารับนางสาวนุ่น จากนั้นนางสาวนุ่นก็ได้ลงมาจากห้องพอดี พร้อมทำสีหน้าเยาะเย้ย ตนจึงเหวี่ยงหมวกกันน็อกใส่ แต่นางสาวนุ่นหลบได้ นางสาวนุ่นก็ได้ตอบโต้ปรี่เข้ามาต่อยหน้า พร้อมใช้กุญแจห้องในมือทิ่มใส่บริเวณหว่างคิ้วตน เจ็บเย็บ 2 เข็ม มีรอยช้ำทั่วใบหน้า
ขณะนี้นางสาวนุ่นทำตัวเหมือนเป็นภรรยาหลวง เวลาที่สามีของตนมาหาตนที่ห้อง เพื่อพูดคุยงาน หรือสามีมาช่วยเลี้ยงแมว นางสาวนุ่นก็จะตามขึ้นมาถึงหน้าห้องของตน ร้องโวยวายจะเอาผู้ชายกลับ ตั้งแต่ที่นางสาวนุ่นย้ายเข้ามาอยู่คอนโดเดียวกันกับตน สามีของตนก็ย้ายไปอยู่กับนางสาวนุ่น ไม่ได้สนใจตน โดยสามีจะพบเจอตนเพียงตนออกไปทำงานรับเหมาติดวอลเปเปอร์ด้วยกันเท่านั้น
ร้านค้าในพื้นที่ บอกว่า ตั้งแต่ที่นางสาวนุ่นย้ายมาอยู่ที่คอนโดนี้ร่วมกับนายยุและนางสาวทราย คอนโดก็ไม่เคยเงียบสงบ เพราะเวลาที่นางสาวทรายพบเจอนางสาวนุ่น ทั้งคู่ก็มักจะทะเลาะกันตลอด ก่อความเดือดร้อนรำคาญให้ชาวบ้านเป็นอย่างมาก ตนเกิดมาไม่เคยพบเจอผู้ชายพาผู้หญิง 2 คนมาอยู่กันคนละตึกคอนโดฯ โดยเมื่อวานนี้ตนได้ยินนายยุพูดว่าจะเลิกขาดกับนางสาวทราย แล้วขอเลือกนางสาวนุ่น แต่ปกติตนก็เห็นว่าทั้ง 3 คนทะเลาะกันเดี๋ยวก็ดีกัน เหตุที่เกิดขึ้น ตนคิดว่านายยุเห็นแก่ตัว แต่นายยุ นางสาวทราย นางสาวนุ่น ก็ผิดด้วยกันทุกคน ตนอยากจะบอกกับทั้ง 3 คนว่าควรอายชาวบ้านบ้างที่มาทะเลาะตบตีกันในที่สาธารณะ โดยหากเป็นไปได้ ตนคิดว่าต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งย้ายออกไป ไม่เช่นนั้นคอนโดฯ คงไม่สงบ
