สาวใหญ่ไม่แค้นลูกฆ่าคนรักวัยละอ่อนลั่นไม่คืนดีผัว - มือปืนสะใจขจัดเสี้ยนหัวใจพ่อ (คลิป)

30 พ.ย. 64

จากกรณีเมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 29 พฤศจิกายน 2564 พันตำรวจโทสุคนธ์รัส เอี่ยมสารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองกาญจนบุรี รับแจ้งเหตุยิงกันมีผู้เสียชีวิตเหตุเกิดภายในศูนย์การค้า ใกล้สี่แยกวังสารภี ตำบลปากแพรก อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี หลังรับแจ้งจึงได้ประสานเจ้าหน้าที่มูลนิธิพิทักษ์กาญจน์ เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมด้วยแพทย์เวรโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ

390545

บริเวณลานจอดรถของศูนย์การค้า พบร่างของผู้เสียชีวิตเป็นชายนอนหงาย ข้างศพพบรองเท้า 1 คู่ พบปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม. ตกอยู่ 10-11 ปลอก ทราบชื่อของผู้เสียชีวิต นายอำพล บุ้งทอง อายุ 27 ปี ชาวอำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ส่วนผู้ก่อเหตุคือลูกชายของหญิงคนสนิทผู้เสียชีวิต

923666

วันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปที่ตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี มีเหล่าบรรดาญาติและเพื่อนของนายสิทธิชัย มั่นคง อายุ 29 ปี ผู้ก่อเหตุ เดินทางมาให้กำลังใจ หลังตำรวจชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 7 ตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี และตำรวจภูธรเมืองกาญจนบุรี ร่วมกันจับกุมตัวนายสิทธิชัย ผู้ต้องหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา

856463

พลตำรวจโทธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 เดินทางมาสอบปากคำนายสิทธิชัยด้วยตนเอง มีการแถลงข่าวในประเด็นเรื่องแรงจูงใจที่ก่อเหตุ ผู้ต้องหาสารภาพว่าเรื่องที่นางสาวรจนา แม่ของตน หายตัวไปกับนายอำพล ผู้เสียชีวิต ยอมรับว่าวันเกิดเหตุมีการขับรถจักรยานยนต์ตามรถกระบะของนางสาวรจนา เมื่อมาถึงบริเวณสี่แยกวังสารภี มีการเข้าไปพูดคุยกับทางนางรจนา ต้องการให้กลับมาอยู่กับครอบครัว แต่ทางนางรจนาปฏิเสธ นายอำพลมีการด่าทอเหยียดหยามตนจึงมีปากเสียงกัน ก่อนที่นายอำพลจะเปิดประตูรถวิ่งหนีไปบริเวณจุดเกิดเหตุ แล้วกระหน่ำยิงนายอำพล หลังจากนั้นผู้ต้องหาได้ขับรถจักรยานยนต์หนีไป

477504

เบื้องต้นมีการสอบสวนนางสาวรจนา ชีวี อายุ 50 ปี ให้การว่าได้ขับรถยนต์มาพร้อมกับนายอำพล ผู้เสียชีวิต พบกับนายสิทธิชัย จึงได้พยายามขับรถหนีลูกชายตัวเอง แต่หน้าสิทธิชัยได้ขับขี่จนมาถึงแยกไฟแดงวังสารภีมีปากเสียงกันบนรถ นางสาวรจนาจึงบอกให้นายอำพลวิ่งหนี ส่วนนายสิทธิชัยมีการขับรถจักรยานยนต์ตามไปจนเกิดเหตุยิงจนเสียชีวิต

183358

ในขณะเดียวกัน ตำรวจชุดสืบสวนจังหวัดกาญจนบุรี นำตัวนายสิทธิชัย มั่นคง อายุ 29 ปี ผู้ต้องหา ไปสอบปากคำกับ พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบช.ภ.7 พร้อมด้วย พ.ต.อ.สมเกียรติ โฉมฉาย ผกก.สภ.เมืองกาญจนบุรี ในระหว่างนั้นทีมข่าวพยายามสอบถามถึงแรงจูงใจและปมสาเหตุลงมือยิง แต่นายสิทธิชัยไม่ตอบคำถาม แต่มีสีหน้าแววตาที่ค่อนข้างเครียด

120727

โดยใช้เวลาสอบปากคำประมาณ 15 นาที หลังจากนั้นพาตัวนายสิทธิชัย ผู้ต้องหา เดินทางไปยัง สภ.เมืองกาญจนบุรี ผู้ต้องหาแสดงเจตจำนงไม่ขอทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ด้านพล.ต.ท.ธนายุตม์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าอาจจะมีการเพิ่มข้อหาไตร่ตรองมาก่อนหรือไม่ และยังไม่ฝากขังศาลวันนี้

431720

ทีมข่าวได้เจอกับนายชาย สามีที่ถูกต้องตามกฎหมายของนางสาวรจนา ซึ่งปฏิเสธการให้สัมภาษณ์ มีญาติของนายชายไม่พอใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และกันตัวนายชายออก

724284

ขณะที่นางสาวรจนา ชีวี อายุ 50 ปี แม่ของผู้ต้องหา เปิดใจผ่านโทรศัพท์ว่า วันเกิดเหตุตนไม่รู้ว่าลูกชายรู้ได้อย่างไรว่าตนมาฉีดวัคซีนกันโควิด-19 ที่จังหวัดกาญจนบุรีในช่วงเช้า แต่ตนเชื่อว่าเพราะลูกชายทำงานอยู่ที่ อบจ. จึงเกิดความบังเอิญเห็นรถกระบะที่ตนขับมา เพราะนายสิทธิชัยก็เคยใช้รถคันนี้ เมื่อลูกชายเห็นตนจังหวะนั้นลูกชายพยายามขี่รถจักรยานยนต์ตามรถกระบะที่ตนเองขับมากับนายอำพล ผู้เสียชีวิต และพยายามเรียกให้จอด ตนจึงรีบขับรถกระบะหนี จนกระทั่งมาติดไฟแดงบริเวณแยกวังสารภี ทำให้ลูกชายขับรถจักรยานยนต์รถมาจอดขวางหน้ารถ และพยายามมาเปิดประตูรถ ก่อนที่จะมีการพูดบังคับให้ตนกลับบ้าน เพราะกลัวว่าตนจะถูกหลอกมาฆ่า

216913

ซึ่งตนไม่ยอมกลับ จึงทำให้ลูกชายยิ่งโกรธและโมโห คิดว่าตนรักแฟนใหม่ที่อายุน้อยมากกว่าลูกแท้ ๆ ซึ่งมีปากเสียงกันบนรถ โดยยอมรับว่านายอำพลด่าทอถึงบุพการีนายสิทธิชัย และมีท่าทีโมโห ตนจึงบอกให้นายอำพลหนีไป ก่อนลูกชายเกิดอารมณ์ชั่ววูบ และขับรถจักรยานยนต์ประกบไล่ยิงนายอำพล ทั้งนี้ ปืนที่ลูกชายพกมาเป็นปืนของสามี และลูกชายเป็นคนเอาปืนมาเก็บไว้ที่ตัวเองแทน เพราะเกรงว่าสามีเครียดที่ตนหนีออกจากบ้านแล้วจะฆ่าตัวตาย

สาเหตุที่ทำให้ตนต้องหนีไปอยู่กับนายอำพลที่จังหวัดเพชรบูรณ์นานกว่า 1 เดือน ประกอบกับตนพยายามขออย่ากับสามีแล้ว แต่สามีไม่ยอมหย่าให้ ซึ่งที่ผ่านมาลูกชายได้พยายามแจ้งความคนหายตลอด ก็พยายามติดต่อมาทางลูกสะใภ้และน้องสาวว่าตนสบายดี สำหรับสาเหตุที่ต้องขออย่ากับสามีที่อยู่กันมานาน 32 ปี มีลูกด้วยกัน 3 คนนั้น เพราะสามีกินเหล้าจนหลอนหาว่าตนมีชู้ และมักจะลงมือทำร้ายร่างกายตบตีจนต้องเข้าโรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง พร้อมกับขู่จะฆ่าหลายครั้งด้วย เป็นปัญหาที่สะสมมานานแล้ว

โดยตนรู้จักกันกับผู้ตายผ่านเฟซบุ๊ก และคุยกันมานานเกือบ 1 ปี โดยตลอดเวลาที่คุยกันส่วนใหญ่จะคุยกันเรื่องปัญหาครอบครัว และเกิดความเห็นอกเห็นใจกัน จนตัดสินใจคบกัน ตลอดเวลาที่ตนหนีมาอยู่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ก็ไม่ค่อยติดต่อลูกชาย จำได้ว่าโทรคุยกันเพียง 1 ครั้ง เพราะอยากเห็นหน้าหลาน ยอมรับว่าลูกชายรักตนและรักพ่อมาก ไม่อยากให้เลิกกัน และที่ผ่านมาพยายามขอร้องให้ตนกลับบ้านตลอด แต่ตนจะไม่อยากกลับไปเจอสามี อยู่กับนายชายแล้วไม่มีความสุข

"ตนรักลูกและนายอำพล ทั้ง 2 คนเท่ากัน และไม่ได้อยากให้มีปัญหากัน เพราะไม่อยากให้เสียเลือดเสียเนื้อตามที่สังคมกำลังต่อว่าตนต่าง ๆ นานา" ทั้งนี้ ตนอยากฝากไปถึงลูกชายด้วยว่า "แม่รักลูก และแม่เข้าใจ สิ่งที่ลูกทำไป เพราะลูกรักและเป็นห่วงแม่" โดยตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่าจะเข้ามาที่จังหวัดกาญจนบุรีหรือไม่ เพราะญาติยังคงรุมด่าและต่อว่าตนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขอเวลาพักใจ ให้ทุกฝ่ายใจเย็นก่อนแล้วจะกลับบ้าน ส่วนครอบครัวและญาติของผู้ตายตนได้คุยแล้วเช่นกันตั้งแต่เมื่อช่วงค่ำวานนี้ ซึ่งทางครอบครัวก็ไม่ได้ติดใจอะไรและยังคุยกับตนปกติดี พร้อมทั้งยังแสดงความเห็นอกเห็นใจ รวมถึงสงสารตนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

316819

นางสาวหทัยรัตน์ อายุ 45 ปี น้องสาวของนางรจนา น้าของผู้ต้องหา บอกว่า ปกติแล้วหลานชายเป็นคนเงียบ ไม่ใจร้อน ยอมรับว่านายสิทธิชัยเคยติดยาเสพติด จนส่งผลกระทบต่อระบบประสาทและสมอง ทำให้เกิดอาการจำใครไม่ได้ แม้กระทั่งแม่ของตัวเอง ซึ่งมีการรักษาตัวตามลำดับ และยังไม่หายขาด แต่ก็ยังทำงานรับจ้างทั่วไปได้ตามปกติ บทบาทของการเป็นหัวหน้าครอบครัว นายสิทธิชัยก็ดูแลลูกชายทั้ง 2 คน และภรรยาเป็นอย่างดี

ตั้งแต่แม่หายไปเป็นเป็นเดือนกับผู้เสียชีวิต หลานชายก็เริ่มซึม ไม่ค่อยพูดจากับใคร และถามภรรยาตัวเองว่าแม่กลับมาบ้านหรือยัง  เท่าที่มีโอกาสพูดคุยกับนางสาวรจนา ผ่านโทรศัพท์มือถือ ก็บอกว่าค่อนข้างรู้สึกเครียด และยังคงกังวลใจเรื่องญาติพี่น้องคนอื่น ๆ ที่ไม่พอใจนางสาวรจน กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ส่วนเหตุที่ทำไปคิดว่าหลานชายคงจะเกิดความเครียด รักและคิดถึงแม่มาก เพราะนายสิทธิชัยสนิทกับแม่มากกว่าพ่อ และก็ไม่แน่ใจว่าเรื่องรถกระบะคันที่นางสาวรจนาเอาไปจะเกี่ยวโยงหรือไม่ เนื่องจากชื่อรถเป็นชื่อนางสาวรจนาจริง แต่ปกติคนใช้รถจะเป็นนายสิทธิชัย ตอนนี้ที่เป็นห่วงคือสภาพจิตใจของหลานชาย น่าจะมีความเป็นห่วงลูกชาย 2 คน วัย 3 ขวบ กับ 4 เดือน ที่หลังจากนี้จะมีแค่หลานสะใภ้เลี้ยงคนเดียว ตอนนี้อยากเจอหลานชาย อยากให้กำลังใจและบอกว่าไม่อยากให้เครียด ทางครอบครัวเข้าใจถึงเหตุผลดี พร้อมเตรียมประกันหลักทรัพย์ไว้ประกันตัวแล้ว

713387

ทีมข่าวอมรินทร์ได้ภาพกล้องวงจรปิดเพิ่มเติม เป็นมุมจากฝั่งตรงข้ามที่เกิดเหตุ ความยาวคลิป 1.02 นาที เห็นว่านายอำพลใส่เสื้อสีดำวิ่งหนีผ่านกล้อง จากนั้นนายสิทธิชัย ขับรถจักรยานยนต์ตาม และหลังยิงก็มีการขับรถหนีไป

576803

ทีมข่าวอมรินทร์เดินทางมาที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ พบกับพ่อกับป้าและลูกพี่ลูกน้องของนายอำพล บุ้งทอง ผู้เสียชีวิต ช่วงเวลาประมาณ 09.00 น. นายประยูร บุ้งทอง อายุ 56 ปี พ่อได้นำเสื้อยืดสีน้ำเงิน เเละกางเกงยีนส์ของลูกชายมาให้กับทางเจ้าหน้าที่นิติเวชเพื่อใส่ให้กับศพลูกชาย

พ่อผู้เสียชีวิต เปิดเผยสั้น ๆ ว่าตนเองเสียใจมาก จุกอกพูดอะไรไม่ออก ตั้งเเต่รู้เหตุการณ์เมื่อวานนี้จากแฟนว่าลูกชายถูกยิงตรงสี่เเยก ตอนนี้ตนก็ยังทำใจไม่ได้ เมื่อวานตั้งเเต่ทราบเรื่องก็รีบตีรถจากจังหวัดเพชรบูรณ์ มาที่จังหวัดกาญจนบุรี แต่ก็ไม่ทันจะได้เห็นหน้าลูกชาย ตนแทบจะไม่ได้พักผ่อนเลย เสียใจมากแต่ทำอะไรไม่ได้แล้ว ลูกชายก็เสียชีวิตไปแล้ว ตอนที่ลูกชายจะออกจากบ้านมา ตนก็พยายามห้ามแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดตนเคยเห็นแต่ในข่าว ก็ไม่คิดว่าจะมาเกิดเหตุร้ายแบบนี้กับลูกชายของตน

ส่วนทางด้านแฟนของลูกชาย นางรจนา ตนไม่ได้รู้สึกโกรธแค้น เมื่อวานก็ได้คุยกันเล็กน้อย เขาก็บอกว่าเสียใจที่เหมือนกัน ที่พานายอำพลมาเสียชีวิต บอกอีกว่าจะช่วยเงินทำบุญงานศพ

607672

จนเวลา 13.15 น. รถตู้อาสามูลนิธิร่วมกตัญญูมาถึงสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ นางกาญจนาเดินมาที่รถกู้ภัย เเละเริ่มมีอาการร้องไห้สะอึกสะอื้น เมื่อนางกาญจนาเห็นร่างของนายอำพลถูกเจ้าหน้าที่เข็นออกมา ก็มีการเดินเข้ามาจับขาของนายอำพล เเละร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะนำร่างของนายอำพลใส่โลงศพที่เตรียมไว้ ปิดฝาเเละขนขึ้นรถกู้ภัยออกเดินทางไปที่บ้านเกิดของนายอำพล จังหวัดเพชรบูรณ์

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ทุบโต๊ะข่าว เป็นกระแส