จากกรณีนายวัชรินทร์ เดชศรี โพสต์คลิปวิดีโอขณะถูกชายฉกรรจ์รุมทำร้ายร่างกาย ระหว่างขับรถพาครอบครัวไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในตัวเมืองกระบี่ โดยมีรถ 4 คัน มาจอดปิดหัวและท้าย ก่อนกลุ่มชายฉกรรจ์ลงมาล้อมรถจนชุลมุน มีคนเข้ามาล็อกคอ แย่งกุญแจรถไป ทั้งยังชกต่อยเข้าที่ใบหน้า ทำให้ต้องรักษาตัวหลายวัน ซึ่งเจ้าตัวได้แจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองกระบี่ แล้ว (อ่าน :
หนุ่มใหญ่เล่านาทีไฟแนนซ์เถื่อน ล็อกคอยึดรถต่อหน้าลูกเมีย ลั่นไม่เบี้ยว เดินหน้าเอาผิด)
วันที่ 28 พ.ย. 61 ที่ศูนย์ดำรงธรรม จ.กระบี่ นายวัชรินทร์ เดชศรี อายุ 34 ปี เข้าร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ พร้อมกล่าวว่า หลังจากที่ตนเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองกระบี่ กลุ่มชายฉกรรจ์ยอมนำกุญแจมาคืนให้ แล้วบอกว่าจะไม่ยึดรถตนแล้ว ให้เรื่องจบไปก่อน แต่ตนยอมรับพฤติกรรมดังกล่าวไม่ได้ จึงเข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองกระบี่
หลังจากนั้น
นายวัชรินทร์ ยอมรับว่า รถตนขาดการผ่อนชำระจริง เนื่องจากรายได้ในช่วงหลังไม่เพียงพอ จนกระทั่งบริษัทฟ้องศาล และศาลสั่งให้ตนชำระยอดเงินที่ค้างอยู่ประมาณกว่า 500,000 บาท หากไม่สามารถชำระได้ ก็ให้คืนรถให้บริษัท
หลังจากนั้น ประมาณเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ตนก็พยายามเจรจาไกล่เกลี่ยกับบริษัท เนื่องจากจำเป็นต้องใช้รถในการทำงาน โดยรับปากว่าจะเร่งหาเงินมาจ่ายให้ภายใน 3 เดือน ตอนนี้ตนใกล้จะได้เงินครบแล้ว ซึ่งหากทางบริษัทแจ้งให้ทราบว่าจะต้องยึดรถ แล้วพนักงานมาแสดงตัวให้ชัดเจน พูดจากันดี ๆ ตนเองก็ยอมรับ แต่กลับแสดงพฤติกรรมที่ป่าเถื่อนรุนแรง จึงเห็นว่าไม่เหมาะสม อยากให้ตำรวจเร่งทำคดีนี้ให้ด้วย
ด้าน
นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีสำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า กรณีดังกล่าวหากไฟแนนซ์ต้องการยึดทรัพย์สิน จะต้องฟ้องศาล เนื่องจากในรถยนต์ นอกจากทรัพย์สินที่เป็นรถ ยังมีทรัพย์สินของเจ้าของรถอย่างอื่นอีก เช่น เงินสด ทั้งยังใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อการได้มาซึ่งทรัพย์สินของผู้อื่น ถือว่าผิดกฎหมายในข้อหาปล้นทรัพย์ ไม่สามารถยอมความกันได้
ส่วนกรณีที่เจ้าของรถติดหนี้ไฟแนนซ์ 500,000 บาท ก็ต้องไปว่ากันในศาล โดยตนขอแนะนำให้แจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มชายฉกรรจ์ และกรรมการบริษัทไฟแนนซ์ที่รู้เห็นเป็นใจ เป็นผู้จ้างวานให้กลุ่มชายฉกรรจ์มาก่อเหตุกับผู้อื่น ทั้งนี้ หากต้องการยึดรถและเจ้าของรถไม่จ่ายหนี้ ก็สามารถฟ้องทางแพ่งได้ แล้วขอไต่สวนฉุกเฉิน เพื่อนำคำสั่งศาลมายึดรถ ไม่ใช่จะยึดใครก็ทำ หรือใช้กำลังปล้นทรัพย์ผู้อื่น
นอกจากนี้ ตนแนะนำว่าบริษัทไฟแนนซ์ควรตรวจสอบผู้ซื้อก่อนดำเนินเรื่องด้วยว่า มีกำลังพอที่จะจ่ายหนี้ด้วยหรือไม่