ตะลึงค้นห้องพ่อแม่โหดเจอฟรอยคาห้อง - ฉี่ม่วงคู่ ช็อกเด็กถูกบุหรี่จี้ทั่วตัว (คลิป)

25 ต.ค. 64

กรณีแฟนเพจเฟซบุ๊ก "จือปาก" โพสต์ขอความช่วยเหลือ ระบุว่า “เคสนี้น่ากลัวมาก ฝากแชร์กันหน่อยนะคะ หนูมีเรื่องขอความช่วยเหลือคะ คือหลานสาวหนูอายุ 3 ขวบ เป็นลูกของน้องสาวคนละแม่กับหนู ส่วนตัวไม่ได้สนิทกัน แฟนเค้าเพิ่งออกมาจากคุก ทำร้ายร่างกายลูกตัวเองสาหัส เยื่อหุ้มในสมองอักเสบ ตามร่างกายมีแต่รอบแผล ถูกบุหรี่จี้ตามตัว เอาน้องไปทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตอนเค้าอาการแย่แล้ว หมดสติ ตอนนี้คดียังไม่คืบหน้าเลย มีหลานชายอีกคนที่ยังอยู่กับเค้า ไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้าง ขอความกรุณาพี่ช่วยด้วยนะคะ พิกัด : สุพรรรบุรี อำเภอเมือง #ฝากแชร์ด้วยนะคะทุกคน”

275566

ล่าสุดวันที่ 25 ต.ค.64 เวลา 11.00 น. ตำรวจสามารถควบคุมตัวนายเมธี อายุ 36 ปี และน.ส.อารีรัตน์ อายุ 28 ปี ได้ที่บ้านเช่าหลังหนึ่ง ถนนนางแว่นแก้ว ต.ท่าพี่เลี้ยง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี หลังสามารถจับพิกัดจากสัญญาณโทรศัพท์ของนายเมธี จนพบอยู่จุดสุดท้ายที่ต.รั้วใหญ่ อ.เมือง ไม่ห่างจากต.ท่าพี่เลี้ยง มากนักซึ่งเป็นพื้นที่ติดกัน

363062

กระทั่งสืบสวนจนพบรถจักรยานยนต์ของนายเมธี จอดอยู่หน้าบ้าน จากนั้นชุดสืบสวนจึงเข้าจับกุม เบื้องต้นผู้ต้องหายังให้การปฏิเสธ และมีรายงานว่า ขณะเข้าจับกุม ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ได้ทิ้งยาเสพติดลงในชักโครกด้วย นอกจากนี้ ยังพบเสื้อผ้าที่สวมใส่ในวันที่พาลูกสาววัย 3 ขวบไปที่โรงพยาบาล

618345

ขณะเดียวกันเวลา 13.30 น. เจ้าหน้าที่พม. ได้เดินทางเพื่อจะมารับตัวน้องมิกซ์ (นามสมมติ) อายุ 7 ปี ไปดูแล และประเมินสภาพจิตใจ แต่ทางญาติโดยเฉพาะตาและยายไม่อนุญาตให้น้องมิกซ์ไปอยู่ในความดูแลของทางพม. และยืนยันว่าจะดูแลหลานทั้ง 2 คนด้วยตัวเอง

379856

ต่อมานายนพฤทธิ์ ศิริโกศล รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี  ได้เดินทางมายังสภ.เมืองสุพรรณบุรี เพื่อติดตามความคืบหน้าของคดีและมาประเมินความเป็นอยู่ของน้องมิกซ์ ลูกชายคนโตของผู้ต้องหา ขณะเดียวกันเมื่อเดินเข้าไปยังห้องสืบสวน พบว่า น.ส.อารีรัตน์ สิงหนาท อายุ 28 ปี นั่งอยู่ด้วย โดยมีสภาพอิดโรย นิ่งเฉย ส่วนน้องมิกซ์ ยังสามสารถพูดคุยได้ปกติ ร่าเริง

พ.ต.อ.กฤศ จันทร์สว่าง ผกก.สภ.เมืองสุพรรณบุรี เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการสอบปากคำ แต่หลังจากได้พูดคุยกับพ่อแม่เด็ก ให้การเป็นประโยชน์กับเจ้าหน้าที่ พร้อมกับยอมรับสารภาพว่าผู้เป็นสามีเป็นคนลงมือก่อเหตุจริง สาเหตุที่ทำต้องรอสอบสวนอย่างละเอียดอีกครั้ง ส่วนพ่อเด็กยังให้การวกวนและปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และจากการตรวจสอบสารในร่างกายของทั้งพ่อและแม่เด็ก พบสารเสพติดทั้งคู่ ฉี่เป็นสีม่วง โดยเบื้องต้นพนักงานสอบสวนไม่อนุญาตให้ประกันตัว และให้ฝากขังในระหว่างการสอบสวน

399588

ในส่วนเด็กหญิงวัย 3 ขวบ ขณะนี้ก็ได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว สามารถที่จะพูดจารู้เรื่องได้ ส่วนในเรื่องการเป็นอยู่นั้นเดิมทีจะให้อยู่ในความดูแลของบ้านเด็ก แต่เนื่องจากว่าได้พูดคุยกับตายายแล้วสามารถดูแลได้ เชื่อว่าการที่เด็กจะได้อยู่กับตายายนั้นน่าจะมีความสุขมากกว่า

974399

ขณะเดียวกันเด็กผู้ชายคนโต อายุ 7 ปี ที่มีพฤติกรรมซนอยู่ไม่นิ่ง ได้พูดคุยกับแพทย์ลงความเห็นว่า ไม่สมควรอยู่ในการดูแลของพ่อแม่ ตอนนี้มีการตกลงให้อยู่อาศัยกับตายายชั่วคราวไปก่อน และหลังจากนี้จะประสานงานกับพม. ให้พิจารณาถึงการเลี้ยงดูบุตร ว่าสามารถเลี้ยงดูได้หรือไม่ ส่วนประเด็นการทำร้ายร่างกายกี่ครั้งแล้วนั้น กำลังอยู่ในระหว่างการสอบปากคำ คาดว่าน่าจะมีการทำร้ายกันมาก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนจะทำร้ายกันที่ไหนอยู่ขั้นตอนกระบวนการสอบปากคำและขยายผลต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นเด็กผู้หญิง วัย 3 ขวบ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่เด็กผู้ชายคนโตดูแล้วมีพัฒนาการช้า ไม่ค่อยปกติ ไม่อยู่กับที่ ส่วนทางคดีก็ไม่น่าจะเป็นห่วง คดีดังกล่าวเบื้องต้น ตำรวจแจ้ง 4 ข้อหา 1.ร่วมกันทำร้ายร่างกาย 2.พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก 3.พ.ร.บ.ความรุนแรงในครอบครัว และ 4.เสพยาเสพติด

343313

ทีมข่าวได้พบกับนายสมควร (สงวนนามสกุล) อายุ 60 ปี กล่าวว่า ลูกชายตนเป็นคนขี้โมโห มักมีปากเสียงกับตน เพราะตนไม่ตามใจ เคยขโมยทองน้ำหนัก 10 บาทเอาไปจำนำ ด้วยเหตุนี้ทำให้ลูกชายตนอาศัยอยู่ที่บ้านกับตนไม่ได้นาน ทะเลาะกันทีก็จะหนีออกจากบ้าน โดยเวลาที่หนีออกจากบ้าน ก็จะพาภรรยาและลูก ๆ ออกไปด้วย

623767

โดยเมื่อ 10 ปีก่อน ลูกชายของตนเคยต้องคดีพยายามฆ่าที่ จ.นราธิวาส ซึ่งตนได้ไปเคลียร์คดีเสียค่าประกันตัว จำนวน 200,000 บาท เมื่อตนพาลูกชายกลับมาอาศัยที่บ้านในกรุงเทพฯ ได้ไม่นาน ในปี 61 ลูกชายก็ได้ก่อคดีขับรถกระบะพร้อมอาวุธมีด ออกไปพร้อมเด็กชายมิกซ์ ลูกชายวัย 6 ขวบ ออกไปจี้โทรศัพท์มือถือจากผู้หญิงบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าย่านรังสิต จนถูกจับ ตนต้องซื้อโทรศัพท์ให้ผู้เสียหาย 20,000 บาท แล้วลูกชายตนก็เพิ่งพ้นโทษออกมาเมื่อต้นปี 64 แต่ต้องติดกำไล EM เพิ่งถอดไปเมื่อปลายเดือนก.ย.64

โดยลูกชายตนอาศัยอยู่ที่บ้านกับตนในช่วงเดือนมี.ค.-ก.ค.64 ซึ่งลูกชายตนได้พยายามขอเงินตน 100,000 บาท แต่ตนไม่ทราบว่าลูกชายจะขอเงินจำนวนมากไปทำอะไร ทำให้ตนทะเลาะกับลูกชาย จนต้นเดือนส.ค.64 ลูกชายของตนได้ขโมยรถจักรยานยนต์ ขี่พาเด็กชายมิกซ์วัย 6 ขวบ และภรรยาหนีออกจากบ้านไป คาดว่ากลับไปอาศัยที่จ.สุพรรณบุรี ตนเพิ่งทราบวันนี้ว่าบุคคลในข่าวคือลูกชายของตน

อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าลูกชายตนติดยาเสพติด คาดว่าที่ทำรุนแรงกับลูกแท้ ๆ และใช้บุหรี่จี่เด็ก เพราะเมายา เนื่องจากปกติลูกชายตนไม่เคยทำร้ายลูกตัวเอง อีกทั้งตนยังคิดว่าลูกสะใภ้น่าจะเสพยาเสพติดเช่นกัน เพราะเคยมึนเมาแล้วกล่าวหาว่าตนจะข่มขืน ตนสงสารหลานๆ ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีกับลูกชายตนและลูกสะใภ้ให้หนัก ซึ่งตนจะดำเนินคดีเรื่องที่ลูกชายขโมยรถจักรยานยนต์ของตนด้วย

863571

ทีมข่าวเดินทางไปที่ห้องเช่าแห่งหนึ่ง ต.ท่าพี่เลี้ยง จ.สุพรรณบุรี เป็นที่พักอาศัยของนายเมธี และน.ส.อารีรัตน์ อาศัยกับน้องมิวสิค ลูกคนเล็ก และเด็กชายมิกซ์ ลูกคนโต โดยห้องที่เกิดเหตุเป็นห้องหมายเลข 1 ข้าวของเครื่องใช้ยังคงทิ้งเอาไว้อยู่ภายในห้องเช่า มีรองเท้า และเสื้อผ้าเด็กผู้หญิง วางกระจายอยู่ภายในห้อง ซึ่งคาดว่าเป็นของน้องมิวสิค และยังพบสิ่งของเครื่องใช้ส่วนใหญ่ในห้องเสียหาย ซึ่งคาดว่าเกิดจากการกระทำของนายเมธี

172016

โดยสังเกตจากประตูห้องนอนและประตูหลังบ้านมีลักษณะเป็นรู ตู้เสื้อผ้าประตูหย่อนและมีลักษณะเหมือนโดนถีบ ไม้กวาดด้ามแตก เก้าอี้เหล็กจำนวน 2 ตัว พังเสียหายแยกเป็นชิ้น และภายในห้องน้ำของตัวบ้าน สังเกตว่ามีลักษณะเหมือนกระดาษฟรอย เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเสพยาเสพติด ถูกทิ้งเอาไว้ภายในห้องน้ำ

492675

นายสมภาร (นามสมมติ) เปิดเผยว่า ห้องเช่าดังกล่าว นายเมธี และน.ส.อารีรัตน์ ย้ายมาอยู่อาศัยได้ประมาณ 2 เดือน พากันมาอยู่อาศัยจำนวน 4 คน ได้แก่ นายเมธี น.ส.อารีรัตน์ เด็กชายมิกซ์ และเด็กหญิงมิวสิค ซึ่งส่วนใหญ่ตนก็เห็นครอบครัวดังกล่าวอาศัยอยู่ภายในห้อง ไม่ได้ออกไปไหน จึงไม่รู้ว่าทำงานหรือออกไปที่ไหนบ้างหรือไม่

โดยเมื่อประมาณ 2 เดือนก่อน ช่วงแรกที่นายเมธี พาน.ส.อารีรัตน์ พร้อมกับลูกมาอาศัยอยู่ที่ห้องเช่า ก็เริ่มทะเลาะกัน มีปากเสียงกัน ฝ่ายหญิงก็วิ่งผลักประตูออกมา พร้อมกับใส่เพียงแค่กางเกงในตัวเดียว ไม่มีเสื้อผ้า วิ่งมาขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน ไม่นานนายเมธีก็วิ่งตามหลังมา พร้อมกับจะมาทำร้ายร่างกาย ทำฝห้ฝ่ายหญิงร้องตะโกนว่า “ ช่วยด้วย หนูโดนทำร้าย” ตอนนั้นตนก็ไม่รู้ว่าทั้งคู่ทะเลาะอะไรกัน จึงเข้าไปห้ามในฐานะเพื่อนบ้าน ทำให้นายเมธี อารมณ์เย็น และเดินกลับเข้าไปห้อง 

965344

จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ตนก็มักจะได้ยินเสียงคนถูกทำร้ายร่างกาย ถูกทุบตีเป็นประจำ และมักจะได้ยินทะเลาะกันช่วงตอนเช้ามืดของทุกวัน ตนก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องตื่นขึ้นมาทะเลาะกันเวลาดังกล่าว แต่เสียงที่ได้ยินก็จะเป็นเสียงที่มาจากในห้อง ไม่เคยเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเวลาทะเลาะกันก็จะทะเลาะแต่ในห้อง ได้ยินข้าวของแตกกระจาย และได้ยินเสียงกรีดร้องของเด็กหญิงมิวสิค แต่ก็ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะรุนแรงถึงขั้นหามส่งโรงพยาบาล 

ทั้งนี้ แม้ว่าเพื่อนบ้านทุกคนจะได้ยินเสียงเด็กและแม่ของเด็กถูกทำร้ายทุกวัน แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่ง เพราะเป็นเรื่องส่วนตัว แต่หากวิ่งมาขอความช่วยเหลือ หรือเล่าเรื่องราวให้ฟัง ตนก็พร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลือหรือแจ้งตำรวจ อย่างไรก็ตาม ตนไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ของเด็กจึงปกป้องนายเมธี ทั้งที่ตนก็เห็นกับตาว่าเคยถูกทำร้ายร่างกาย แต่ไม่ว่าเหตุการณ์พ่อหรือแม่ใครจะทำร้ายเด็ก ก็ควรที่จะได้รับโทษตามกฎหมาย ยิ่งหากมีสถานะเป็นพ่อแม่แท้ ๆ ถือว่าเป็นการกระทำที่เลวมาก

915968

ทีมข่าวยังได้เจอกับ นายเปี๊ยก ตาของเด็ก เปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนไม่คิดว่าลูกสาวจะเป็นคนรับสารภาพว่าร่วมก่อเหตุทำร้ายลูกแท้ ๆ เพราะก่อนหน้านี้เขาเป็นคนรักลูกไม่เคยมีพฤติกรรมที่จะทำร้ายใคร แต่ก็แปลกใจที่กลับไปคบหากับนายเมธี ที่เพิ่งพ้นโทษ ทั้งนี้ ลูกสาวยอมรับว่า หลังจากที่กลับไปคบหากับนายเมธี ถูกบังคับให้เสพยาเสพติด กระทั่งไม่สามารถเลิกได้ และในวันดังกล่าวมีการก่อเหตุทำร้ายเด็กหญิงมิวสิค จากนั้นก็พาไปส่งโรงพยาบาล ซึ่งตัวของนายเมธี ก็เดินทางไปด้วย เมื่อไปถึงก็บอกกับโรงพยาบาลว่า “พาลูกมาส่งโรงพยาบาล เพราะโดนตายายทำร้ายร่างกายมา” ตนก็ไม่คาดคิดว่าลูกสาวจะไปพูดแบบนี้ ทั้งที่ทั้งคู่เป็นคนก่อเหตุ

โดยก่อนหน้านี้ครอบครัวก็เคยห้ามไม่ให้มีการคบหากับนายเมธี เนื่องจากมีประวัติเกี่ยวข้องกับคดีลักทรัพย์ และยังเป็นผู้ต้องขัง จึงไม่อยากให้ลูกสาวไปยุ่งเกี่ยวกับนายเมธี ครอบครัวก็กีดกันเอาไว้ อย่างไรก็ตาม ตนต้องการที่จะให้ลูกสาวและนายเมธี รับโทษตามกฎหมาย เพราะถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควร ทำให้หลานสาวได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นตนยืนยันว่าจะไม่มีการประกันตัวใครทั้งสิ้น ทำผิดก็ให้รับโทษตามกฎหมาย

266236

นางส้ม ยายของเด็ก เปิดเผยว่า ตนรู้สึกเสียใจที่เคยพาหลานสาวมาอยู่ด้วยที่บ้านแล้ว แต่ตอนนั้นมีเรื่องให้โมโห เพราะรู้ความจริงว่าน.ส.อารีรัตน์ เกี่ยวข้องกับยาเสพติดร่วมกับนายเมธีสามี จึงไล่ทั้งหมดไปอยู่ที่อื่น ตนจึงรู้สึกเสียใจที่ไล่ให้ทุกคนไปเจอกับเหตุการณ์ดังกล่าว หากหลานสาวอยู่กับตนต่อก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้

"เขาไปบอกกับโรงพยาบาลว่า ตายายเป็นคนทำร้ายเด็ก ความจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้น เพราะหลานคนโตก็มาเล่าให้ฟังทั้งหมดว่า ในวันนั้นตัวของลูกเขย ได้ใช้ไม้ขนาดใหญ่ทุบตีบริเวณหัวน้องมิวสิค และยังมีการใช้บุหรี่จี้ด้านหลัง จนเกิดเป็นแผลเป็น แต่ก็สงสัยว่าทุกครั้งที่มีการทำร้ายร่างกายเด็ก ก็จะทำร้ายแต่ลูกสาวคนเล็ก ไม่เคยทำกับลูกชายคนโต เรื่องนี้จึงยังไม่รู้สาเหตุเหมือนกันว่าทำไมถึงเลือกปฏิบัติแบบนั้น" นางส้ม กล่าว 

780343

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ น.ส.อารีรัตน์ ยังได้นำทรัพย์สินในบ้านไปใช้มูลค่ารวมกว่า 100,000 บาท แบ่งเป็นเงินสดหลักหมื่น รถกระบะ 1 คัน ขโมยพระเครื่องในห้องพระ 1 ถุงใหญ่ มูลค่ากว่า 40,000 บาท และยังขโมยแท็บเล็ต 1 เครื่อง หลังจากที่คนในครอบครัวไปติดตามทวงถาม ก็ได้คืนมาเพียงแค่รถกระบะ แต่ทรัพย์สินทั้งหมดหายไปแล้ว ตนก็ไม่รู้ว่าเขามีเหตุผลอะไรที่นำทรัพย์สินไปใช้มูลค่ามากถึง 100,000 บาท

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ทุบโต๊ะข่าว เป็นกระแส