"ยันตระ" เปิดใจคดีฉาว 20 ปี ศิษย์หิวเงินหักหลัง ลั่นยังเป็นพระ อึ้งสงฆ์เต้นลิงเรียกพลัง (คลิป)

จากกรณีประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ หลังจากที่ได้มีภาพของนายวินัย ละอองสุวรรณ หรือ อดีตพระยันตระ อมโรภิกขุ อดีตภิกษุชื่อดัง ที่ได้เดินทางมาที่ประเทศไทย เเละมีการทำพิธีฉลองวันเกิดอายุครบ 70 ปี โดยมีลูกศิษย์ที่เป็นประชาชน เเละพระสงฆ์ แม่ชี เข้ามากราบไหว้ด้วยความศรัทธาจำนวนมากนั้น

ล่าสุด วันที่ 21 ต.ค. 64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางลงพื้นที่มายังอาศรมเกพลิตาโพธิวิหาร วัดอาจารย์มหาภาวศุทธิ์ เทวธัมโม ตำบลหนองบอน อำเภอเมืองสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว ตามข้อมูลที่ได้รับมาว่าอาจารย์ยันตระจะมีการพักค้าง ณ ที่แห่งนี้ เป็นเวลา 4 วัน 3 คืน โดยสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่สำนักสงฆ์ และถือว่าเป็นมูลนิธิที่เปิดโอกาสให้คนเข้ามาทำบุญปฏิบัติธรรม วันนี้มีลูกศิษย์เข้ามากราบไหว้ตลอด

นายวินัย ละอองสุวรรณ อดีตพระยันตระ อมโรภิกขุ อดีตภิกษุชื่อดัง เปิดเผยว่า หลักคำสอนที่นำมาใช้ คือหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา และตนก็ยังไม่ได้ขาดจากความเป็นพระ ถึงแม้ว่าเมื่อ 20 ปีที่แล้ว จะมีมติตากเถรสมาคมสำนักพุทธให้ขาดจากความเป็นพระ แต่ตนไม่ได้เอ่ยลาสิกขา จึงถือว่ายังเป็นพระอยู่ เพราะตนถือศีล 8 แต่มีสมณะธรรมที่เต็มร้อย และนับถือคำสอนตามหลักศาสนาพุทธ เนื่องจากเป็นศาสนาที่ดีที่สุด และไม่ได้นับถือลัทธิแต่อย่างใด ทั้งนี้พระแท้ไม่จำเป็นต้องโกนผม เพราะพระที่แท้จริงคือผู้ถือสันโดษ และผู้ที่ยอมปล่อยวาง

สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ตนถูกกลั่นแกล้งเพราะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมือง และตนอาจจะมีความโดดเด่นเกินหน้าเกินตาคนอื่น เพราะจุดอ่อนของพระคือสีกา และเงิน สำหรับสีกาที่เคยมีข้อพิพาทกัน ตนยอมรับว่ามีตัวตนจริง และบุคคลนั้นเคยเป็นลูกศิษย์ของตนมาก่อน แต่มีผลประโยชน์เรื่องเงินเข้ามา ส่วนกรณีที่มีลูกศิษย์บางคนยอมแลกพระอาจารย์กับเงิน ตนยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง แต่จากนี้ไปจะไม่ขอพูดพาดพิงถึงเรื่องนี้อีกแล้ว และยืนยันความบริสุทธิ์ใจ

สำหรับเรื่องที่มีการนำบัตรเครดิตไปอ่างอบนวดนั้น บัตรดังกล่าวลูกศิษย์เป็นคนถือไว้ และตนยืนยันว่าไม่เคยไปอาบอบนวดมาก่อน สำหรับเครื่องนุ่งห่มที่ตนใส่ เรียกว่าเป็นสีเขียว เพราะหมายถึงธรรมขาติ ซึ่งการใส่จีวรสีเขียวไม่ได้ผิดวินัยทางพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้กำหนดตายตัวว่าพระสงฆ์จะต้องใส่สีอะไร แต่ต้องไม่ใส่สีฉูดฉาด

ส่วนเรื่องที่สำนักพุทธออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการที่พระสงฆ์มากราบไหว้ตน ส่วนตัวไม่ขอแสดงความคิดเห็น เพราะว่าเรื่องนี้ตนไม่เคยสนับสนุนและการกราบไหว้เป็นสิทธิเสรีภาพของแต่ละคน "I never converted anyone"

นอกจากนี้ จากการตรวจสอบเฟซบุ๊กของลูกศิษย์อดีตพระยันตระ และเฟซบุ๊กดังกล่าวได้มีการโพสต์คลิป เกี่ยวกับการทำกิจกรรมต่าง ๆ ของอดีตพระยันตระ เมื่อวันที่ 13 ต.ค. 64 ได้โพสต์คลิปวิดีโอขณะอดีตพระยันตระกำลังออกกำลังกาย กับพระสงฆ์ และลูกศิษย์ พร้อมเสียงชื่นชมว่า "น่ารักมาก ท่าลิงดีใจ ทุกคนมีความสุขมากเลยค่ะ" และมีเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน

เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 64 ได้โพสต์คลิปวิดีโอ ขณะอดีตพระยันตระได้เดินทางมาพบลูกศิษย์ โดยที่ลูกศิษย์ได้นำกระดาษมารองเท้า และกราบไหว้

พระอาจารย์สมชาติ นันทโก 30 พรรษา พระผู้ติดตาม เปิดเผยว่า อาตมาติดตามอดีตพระยันตระ ตั้งแต่ตอนอายุได้ 20 ปี เพราะอาตมาได้มีโอกาสเรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตอย่างถ่องแท้ และได้เรียนรู้คำสอนจากอดีตพระยันตระ จึงลองปรึกษาและปฏิบัติ กระทั่งปี 2555 อาตมาจึงตัดสินใจออกบวช

โดยสาเหตุที่กราบไหว้ เพราะอาตมานับถือในฐานะพ่อแม่ครูอาจารย์ ส่วนกรณีที่สังคมมองว่าการที่พระสงฆ์กราบบุคคลที่ไม่ได้นุ่งห่มเหมือนพระสงฆ์ทั่วไปเป็นเรื่องที่ผิด อาตมามองว่าแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคน เพราะความศรัทธาเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละบุคคล ทั้งนี้ ทุกคนมีความเห็นเป็นของตัวเอง และถ้าไม่ได้เข้ามาปฏิบัติเอง อาจจะยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้

อีกทั้ง เรื่องราวที่มีการหยิบยกขึ้นมาพูดนั้น ข่าวไม่ดีเมื่อหลายสิบปีก่อนไม่มีใครตัดสินได้ว่าเป็นเรื่องผิดหรือถูก และเชื่อว่าทุกคนจะมีวิจารณญาณในการพิจารณาเรื่องทุกอย่างว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่

นายวินิต ละอองสุวรรณ อายุ 81 ปี พี่ชายของอดีตพระยันตระ เปิดเผยว่า ก่อนที่อดีตพระจะอายุเข้า 20 ปี ได้พบหนังสือคู่มือมนุษย์ของท่านพุทธธาตุ จึงลาออกจากมหาวิทยาลัย ก่อนจะปฏิบัติธรรมเป็นโยคี ไม่ฉันเนื้อสัตว์ เพราะเคยเห็นปลาดิ้น ขณะที่โดนปิ้ง อดีตพระยันตระ อุปสมบทมาตั้งแต่ปี 2517 ที่วัดรัตนาราม อ.ปากพนัง จ.พระนครศรีธรรมราช

โดยหลักคำสอนของท่าน เป็นคำสอนที่มาจากพระพุทธศาสนา แต่วิธีการสอนอาจจะไม่เหมือนกับคนอื่น คือไม่ได้ยกคำบาลีขึ้นมากล่าวเยอะ แต่จะสอนด้วยคำพูดและใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ซึ่งทำให้ทุกคนเข้าถึงพุทธศาสนาได้ง่ายมากขึ้น ส่วนคำสอนหลัก ๆ ที่สำคัญ คือสอนให้ทำความดี ไม่ทำความชั่ว ด้วยเหตุนี้คำสอนของท่านถ้าไม่เป็นที่ศรัทธา ลูกศิษย์คงไม่มาศรัทธา กระทั่งเมื่อหลายสิบปีก่อน ประมาณปี 2537 ได้มีข่าวการเผยแพร่ข่าวที่ไม่ดีเกี่ยวกับตัวท่านออกมา ซึ่งในตอนนั้นได้มีการตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบแล้ว และเท่าที่ทราบได้มีลูกศิษย์บางคนที่เห็นแก่เงินจนยอมขายอาจารย์ตัวเอง เพราะความโลภมาก

โดยช่วงที่อดีตพระถูกกล่าวหา ท่านปฏิบัติธรรมอยู่บนเขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี และการเดินทางขึ้นลงเขา ถ้าเด็กวิ่งขึ้นเขาจะใช้เวลา 45 นาที แต่มีบุคคลกล่าวหาว่าอดีตพระเดินลงมาจากเขาเพื่อมาเจอสีกาทุกคืน ด้วยเหตุนี้ตนจึงอยากจะสังคมลองพิจารณาเองว่าจะเป็นไปได้หรือไม่

พระราชธรรมนิเทศ หรือ พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว กล่าวว่า จากภาพดังกล่าวยืนยันว่าไม่ผิด แต่เสียธรรมเนียม เพราะตามธรรมเนียม จารีต ประเพณี ไม่ให้พระสงฆ์กราบไหว้บุคคล แม้กระทั่งพระเจ้าแผ่นดิน เพราะยันตระขาดจากการเป็นพระ ไม่จำพรรษา ทั้งที่เป็นช่วงของการจำพรรษา เครื่องแบบก็ไม่ใช่พระ จะมาอ้างก็ไม่ได้ เพราะนั่นคืออดีต คนเราต้องอยู่กับปัจจุบัน รวมถึงศาลมีการตัดสินมาแล้ว และตัวเขาเองก็ไม่ยอมพิสูจน์ดีเอ็นเอ ตั้งแต่ตอนนั้นถ้าพิสูจน์ก็จบ "ทองแท้ต่องทนต่อการพิสูจน์" แต่ยันตระหนีการพิสูจน์ สภาพความเป็นพระก็คงหายไป

พระที่ไปไหว้คงไม่ถึงกับขาดจากความเป็นพระ แต่เป็นการเสียธรรมเนียม แยกแยะไม่ถูก หากต่อจากนี้หากเกิดเหตุการณ์พระที่เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาเจอเหตุการณ์ไม่ดี และจะต้องลาสิกขาก็จะเดินตามรอยแบบนี้หมด กังวลจะเป็นแบบอย่างไม่ดี สำหรับพระที่เป็นเจ้าคณะชั้นปกครองคงจะต้องมีการเรียกมากล่าวตักเตือนตามความเหมาะสม

ถือว่าการต้อนรับยันตระ การจัดงานวันเกิดไม่ผิด ไม่มีปัญหา แต่มีปัญหาตรงที่มีการก้มหัวไปกราบ พระสงฆ์ที่มีการก้มหัวไปกราบนั้นก็ไม่ถือว่าอาบัติปาราชิก แต่ท่านผู้รู้จะติเตียน ดังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ "บูชาบุคคลที่ควรบูชา" แต่หากไปบูชาคนที่มีคดีและศาลตัดสินแล้วเป็นสิ่งที่ไม่เป็นมงคล ดังเช่น "ตำหนิคนชั่ว ยกย่องคนดี" อยากจะฝากถึงพระที่ไปกราบไหว้ยันตระ อาตมาต้องขอให้พระคุณเจ้าแยกแยะระหว่างอดีตและปัจจุบัน