ชี้ชะตาราคาทองคำ! รอลุ้นเฟด ประชุมกลางปี

5 ม.ค. 65

ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ(Gold Research Center) กล่าวกับทีมข่าว "SPOTLIGHT" ว่า ทิศทางของราคาทองคำในขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นขาขึ้นหรือลง เนื่องจากยังต้องรอติดตามปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของราคาทองคำในปีนี้คือ การดำเนินนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ซึ่งการประชุมของเฟดที่จะเกิดขึ้นช่วงเดือน มิ.ย.ปีนี้จะมีความชัดเจนขึ้น โดยมีมุมมองต่อการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยของเฟดใน 2 สมมมติฐาน คือ กรณีที่ 1. กรณีเฟดตัดสินใจขึ้นดอกเบี้่ยจะเป็นปัจจัยเสี่ยงกดดันต่อราคาทองคำในตลาดโลกให้ปรับตัวลงหลุดต่ำกว่าระดับ 1,700 ดอลลาร์ต่ออนซ์ ส่วนราคาทองคำในประเทศเสี่ยงจะปรับตัวลงหลุดต่ำกว่า 27,500 บาทต่อบาททองคำ ทำให้ทิศทางราคาทองคำจะมีแนวโน้มเป็นขาลง เนื่องจากนักลงทุนจะเทขายทองคำออกมาเพื่อนำเงินย้ายออกไปลงทุนในตราสารลงทุนที่มีผลตอบแทนจากดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

กรณีที่ 2. เฟดคงอัตราดอกเบี้่ยนโยบายต่อไปมีโอกาสที่ราคาทองคำในตลาดโลกจะปรับเพิ่มขึ้นเกินระดับ 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำในประเทศมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เกินกว่าระดับ 30,000 บาทต่อบาททองคำ เพราะนักลงทุนยังคงต้องการลงทุนในทองคำที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในภาวะที่ดอกเบี้ยยังอยู่ระดับที่ต่ำ รวมถึงเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันเฟ้อที่สูงขึ้นได้ และสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่ปัจจุบันกำลังระบาดทั่วโลกทำให้มีความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำคือทองคำเพิ่มขึ้นด้วย

ส่วนกรอบการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในทั้งปีนี้ระหว่างความความชัดเจนนโยบายดอกเบี้่ยของเฟดราคาทองคำในประเทศจะเคลื่อนไหวในกรอบค่อนข้างกว้างระหว่าง 27,000-29,000 บาทต่อบาททองคำ ส่วนราคาทองคำในตลาดโลกจะแกว่งระหว่าง 1,700-1,900 ดอลลาร์ต่ออนซ์

ทั้งนี้หลังจากเมื่อเดือน ธ.ค. 2564 เฟดประกาศจะเพิ่มการปรับลดวงเงินโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) เป็นเดือนละ 30,000 ล้านดอลลาร์ เริ่มตั้งแต่เดือน ม.ค.2565 โดยการปรับลดวงเงินคิวอีของเฟดจะเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากเดิมเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ราคาทองปรับลดลงลงบ้างในระยะสั้น

สำหรับราคาทองคำในประเทศช่วงเดือน ม.ค. 2565 ถึงช่วงเทศกาลตรุษจีนคือในช่วงต้นเดือน ก.พ.ปีนี้ต่อเนื่องถึงสิ้นปีนี้ประเมินว่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบๆ ระหว่าง 28,000-28,800 บาทต่อบาททองคำ ส่วนราคาทองคำในตลาดโลก คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ระหว่าง 1,770-1,850 ดอลลาร์ต่ออนซ์

อย่างไรก็ดีในช่วงเดือน ม.ค.นี้ต่อเนื่องถึงต้นเดือนก.พ.ปีนี้จะเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีนทำให้จะมีความต้องการซื้อทองคำเพื่อนำไปใช้มอบเป็นของขวัญทำให้ราคาราคาทองคำในตลาดโลกเพิ่มขึ้นซึ่งทำให้หากราคาทองคำย่อตัวลงมาที่ระดับ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ก็จะมีแรงซื้อเข้ามารับไม่ให้ราคาทองคำปรับลดลง แต่หากราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นไปที่ระดับ 1,830 ดอลลาร์ต่อออนซ์ นักลงทุนบางส่วนก็จะขายทำกำไรสลับออกมาส่งผลให้ราคาทองคำปรับขึ้นได้ไม่มาก

ขณะที่คำแนะนำการลงทุนทองคำให้ซื้อขายเก็งกำไรในระยะสั้น ให้เข้าซื้อเก็งกำไรหากราคาย่อลดลงมาที่ระดับ 28,200 บาทต่อบาททองคำ และให้รอราคาขายทำกำไรที่ระดับ 28,700 บาท บาทต่อบาททองคำ

  นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า ประเมินว่าภาพรวมราคาทองคำในปี 2565 จะยังทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่องจาก 2 ปีที่ผ่านมา โดยราคาทองคำจะเคลื่อนไหวในกรอบบวกลบ 3,000 บาทต่อบาททองคำจากปี 2564 หรือคาดว่าปรับขึ้นไปสูงสุดประมาณ 29,800 บาท โดยมี 5 ปัจจัยที่จะมีผลต่อราคาทองคำ ดังนี้
  
1. นโยบายของของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยในปี 2565 มาตรการที่ต้องจับตาคือการเร่งลดทำคิวอีที่เฟดได้ส่งสัญญาณในการลดวงเงินการทำคิวอีเพื่อเปิดทางในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเนื่องจากอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตามการปรับลดการทำคิวอีของเฟดนั้นเม็ดเงินจะไม่ได้หายไปในทัน แต่จะค่อยๆลดลงทำให้ยังไม่กระทบทองคำในช่วงครึ่งปีแรก แต่อาจจะกระทบราคาทองคำในครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตามมองว่าประเด็นเรื่องเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงยังถือเป็นประเด็นที่สนับสนุนทองคำและน่าจับตามองเพราะอยู่ในอัตราที่สูงสุดในรอบเกือบ 40 ปี

  2. การเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางและกองทุน SPDR ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 ธนาคารประเทศต่างๆ รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทยได้เข้าซื้อทองคำแท่งเพื่อใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง รวมถึงกองทุนทอง SPDR ซึ่งเป็นกองทุนทองคำขนาดใหญ่ได้กลับมาซื้อทองคำ หลังจากที่ทำการขายมาตลอดทั้งปี แต่เริ่มกลับเข้าซื้อเมื่อเดือน พ.ย.ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับตลาดทองคำ

  3. ความต้องการทองคำกายภาพเริ่มกลับมา ความต้องการทองคำกายภาพในจีนและอินเดียซึ่งเป็นประเทศที่นำเข้าทองคำรายใหญ่ของโลกเริ่มฟื้นตัวสอดคล้องกับเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศที่เริ่มฟื้นตัว เนื่องจากจีนและอินเดียมีความนิยมทองคำที่ส่งต่อกันมารวมถึงเป็นสิ่งจำเป็นในพิธีสำคัญต่างๆ เช่นพิธีแต่งงาน

  4. ทองคำยังเป็นที่ต้องการของนักลงทุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ว่าปัจจุบันจะมีสินทรัพพย์เพื่อการลงทุนรูปแบบใหม่ๆเกิดขึ้นมาและเป็นที่นิยมของนักลงทุน แต่อย่างไรก็ตามการกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์หลากหลายรูปแบบไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาตลอด แต่ไม่ว่าจะมีการกระจายการลงทุนไปยังทรัพย์สินรูปแบบใด พอร์ตการลงทุนที่ดียังต้องมีการลงทุนในทองคำ 5-15% ของพอร์ตลงทุน ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย

  5. เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยหนุนให้คนซื้อทองคำได้ในเงินลงทุนน้อยลง ปัจจุบันเทคโนโลยีช่วยให้ผู้ซื้อหรือนักลงทุนสามารถซื้อทองคำผ่านรูปแบบออนไลน์ และสามารถซื้อทองคำเริ่มต้นด้วยเงินเพียง 100 บาท ในรูปแบบของงการออมทอง ซึ่งการลงทุนในรูปแบบนี้ไม่มีความแตกต่างจากการลงทุนของนักลงทุนรายใหญ่เพราสามารถซื้อขายแบบเรียลไทม์ได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง เช่นเดียวกัน ทำให้ลดช่องว่างของผู้ที่ต้องการลงทุนในทองคำที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะคนมีเงินทุนจำนวนมากเท่านั้น

 

advertisement

Powered by อมรินทร์ทีวีออนไลน์

ข่าวยอดนิยม