หลังครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์มาเป็นเวลาเกือบ 20 ปี ในที่สุด ‘ลีเซียนลุง’ (Lee Hsien Loong) ก็กำลังจะก้าวลงจากตำแหน่ง และส่งไม้ต่อให้กับ ‘ลอว์เรนซ์ หว่อง’ (Lawrence Wong) ขึ้นเป็นผู้นำของสิงคโปร์อย่างเป็นทางการในวันที่ 15 พฤษภาคมที่กำลังจะถึงนี้
การเปลี่ยนผ่านอำนาจของผู้นำสิงคโปร์ในครั้งนี้เป็นสิ่งที่หลายๆ ฝ่ายจับตามอง เพราะสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีความสำคัญมากต่อเศรษฐกิจของโลก ในฐานะศูนย์กลางการเงินและเทคโนโลยีของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ทั้งนักวิเคราะห์ นักธุรกิจ และนักลงทุนต้องพยายามศึกษาว่าสิงคโปร์ภายใต้การนำของผู้นำคนนี้นั้นจะเดินทางไปในทิศทางไหน
ในบทความนี้ ทีม SPOTLIGHT จึงอยากพาทุกคนมารู้จักว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ของสิงคโปร์กันว่าเป็นใคร มีผลงานและแนวทางในการทำงานอย่างไร รวมถึงปัญหาความท้าทายที่เขาต้องเผชิญในฐานะผู้นำคนใหม่ของสิงคโปร์ท่ามกลางความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ อัตราเกิดที่ต่ำ และความนิยมของประชาชนที่มีต่อพรรคกิจประชาชน (PAP) ที่เริ่มลดลงในหมู่คนอายุน้อย
ผู้สืบทอดอำนาจพรรคที่ครอบงำการเมืองสิงคโปร์มากว่า 60 ปี
ก่อนที่จะมีการประกาศส่งต่อตำแหน่งอย่างเป็นทางการ การขึ้นสู่อำนาจของหว่องมีความชัดเจนมาตั้งแต่ปี 2022 หลังจากที่ PAP ประกาศให้เขา ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ขึ้นเป็นหัวหน้าของกลุ่ม 4G หรือกลุ่มผู้นำรุ่นที่สี่ (fourth generation) ของพรรค PAP แทนที่รองนายกรัฐมนตรีเฮง สวี คีต (Heng Swee Keat) อดีตผู้สืบทอดของลีเซียนลุงที่ถอนตัวไปในปีก่อนหน้า
แม้ตามหลักการแล้วการขึ้นเป็นผู้นำกลุ่ม 4G จะไม่ได้เท่ากับการขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะอย่างไรหว่องก็ต้องลงเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีตามระบบ แต่ในบริบทการเมืองของสิงคโปร์นั้น พรรค PAP นั้นเป็นพรรคที่มีอำนาจมากในวงการเมืองสิงคโปร์ และชนะการเลือกตั้งมาโดยตลอด ตั้งแต่มีการเลือกตั้งครั้งแรกในปี 1959 จนใครที่ได้ชื่อว่า เป็นหัวหน้าของกลุ่มผู้นำรุ่นใหม่ของพรรคก็เหมือนถูกล็อกตัวให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปด้วย
การครองอำนาจมากว่า 60 ปี ทำให้ PAP มีเครือข่ายอิทธิพลกว้างขวางในหมู่ชนชั้นนำของสิงคโปร์ทั้งในภาคเอกชน และภาครัฐ อีกทั้งยังได้รับความไว้วางใจอย่างสูงจากประชาชน ในฝีมือการบริหารประเทศ และพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลให้สิงคโปร์ก้าวขึ้นมาเป็นประเทศพัฒนาแล้วได้อย่างรวดเร็ว และเป็นศูนย์กลางการเงินและอุตสาหกรรมโลกแบบในปัจจุบัน จนยากที่คนจากพรรคฝ่ายค้านจะสามารถขึ้นมามีอำนาจเหนือ PAP ได้ในเวลาอันใกล้
ดังนั้น จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ PAP ครองอำนาจมาอย่างยาวนานก็คือ ผลงานในการบริหารเศรษฐกิจของตัวนายกรัฐมนตรีและคนในพรรค ทำให้ผู้นำทุกรุ่นของ PAP จะต้องผ่านกระบวนการคัดเลือกอย่างเข้มข้น และต้องมีความรู้ความสามารถรอบด้าน โดยเฉพาะด้านการบริหารเศรษฐกิจและการเงิน
จากนักเรียนทุนสายเศรษฐกิจ สู่เด็กปั้น PAP
ที่ผ่านมา ผู้สืบทอดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์มักจะมีจุดเริ่มต้นมาจากการเป็นนักเรียนหัวกะทิในโรงเรียน จนได้รับทุนการศึกษาจากรัฐบาลไปเรียนต่อด้านเศรษฐศาสตร์หรือการปกครองที่ต่างประเทศ ก่อนที่จะกลับมาทำงานเป็นข้าราชการหรือรับตำแหน่งทางการเมืองในประเทศแล้วไต่เต้าขึ้นไปเรื่อยๆ
เช่นเดียวกับนายกรัฐมนตรีคนก่อนหน้า เส้นทางนี้ก็เป็นเส้นทางที่ ลอว์เรนซ์ หว่อง ได้ผ่านมาเช่นเดียวกัน เพราะหลังจากจบการศึกษาระดับมัธยมปลายที่ Victoria Junior College แล้ว เขาก็ได้รับทุนการศึกษาจาก คณะกรรมการข้ารัฐการ (Public Service Commission) ของสิงคโปร์ ไปศึกษาต่อด้านเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แมดิสัน ก่อนที่จะเรียนต่อระดับปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน และปริญญาโทสาขารัฐประศาสนศาสตร์ (Public Administration) ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ความรู้ความสามารถนี้ทำให้ ลอว์เรนซ์ หว่อง กลายเป็นหนึ่งในคนรุ่นใหม่ที่ PAP จับตามองทันที โดยหลังจากเรียนจบเขาก็กลับมาทำงานเป็นข้ารัฐการในกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง และกระทรวงสาธารณสุข
นอกจากนี้ เขายังเคยเป็นเลขานุการส่วนตัวให้กับลีเซียนลุงในช่วงปี 2005-2008 และเป็นซีอีโอให้กับสำนักงานตลาดพลังงานสิงคโปร์ (Energy Market Authority – EMA) ในระหว่างปี 2009-2011
ประสบการณ์นั่งเก้าอี้รัฐมนตรี 5 กระทรวง และประธานแบงก์ชาติ
ประสบการณ์การทำงานในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐการในกระทรวงต่างๆ และเลขานุการของลีเซียนลุงทำให้ลอว์เรนซ์ หว่อง มีความใกล้ชิดและได้รับความไว้วางใจจากสมาชิกระดับสูงใน PAP และเริ่มเข้าไปมีบทบาททางการเมืองครั้งแรกในปี 2011 หลังชนะเลือกตั้งในเขต West Coast ในระบบเขตใหญ่ยกพรรค (Group Representative Constituency: GRC) และชนะการเลือกตั้งอีกในปี 2015 ในเขต Marsiling–Yew Tee
หลังชนะการเลือกตั้งครั้งแรกในปี 2011 นายหว่องได้ผ่านการนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ มามากมาย โดยในระหว่างปี 2012-2022 เขาเคยรับหน้าที่ดูแลกระทรวงต่างๆ ดังนี้
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมชุมชนและเยาวชน (Ministry of Culture, Community and Youth) ในระหว่างปี 2012-2015
- รัฐมนตรีคนที่สองของกระทรวงการสื่อสารและสารสนเทศ (Ministry of Communications and Information) ในระหว่างปี 2014-2015
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาแห่งชาติ (Ministry of National Development) ในระหว่างปี 2015-2020
- รัฐมนตรีคนที่สองของกระทรวงการคลัง (Ministry of Finance) ในระหว่างปี 2016-2021
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (Ministry of Education) ในระหว่างปี 2020-2021
นอกจากนี้ เขายังได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานของคณะควบคุมการระบาดของโควิด-19 ในปี 2020 ร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในขณะนั้น และทำผลงานไว้ค่อนข้างเป็นที่น่าพึงพอใจในการดูแลเศรษฐกิจในระหว่างเกิดการระบาด
นี่ทำให้ในปี 2022 หลังเฮง สวี คีต ถอนตัวไป เขาจึงได้รับเลือกขึ้นมาเป็นหัวหน้าของกลุ่มผู้นำรุ่นที่สี่ของ PAP และดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคของ PAP ก่อนจะได้รับตำแหน่งเป็นประธานขององค์การเงินตราแห่งประเทศสิงคโปร์ (Monetary Authority of Singapore) หรือธนาคารกลางของสิงคโปร์ในปี 2023
จากประวัติการทำงานเกือบ 20 ปีนี้ จะเห็นได้ว่า PAP มีกระบวนการคัดเลือกตัวผู้นำแต่ละรุ่นผ่านการให้ทุนการศึกษาเด็กที่มีศักยภาพ ดึงเข้ามาเป็นสมาชิกพรรค ก่อนให้ลองทำงานพิสูจน์ฝีมือขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้ตัวนายกรัฐมนตรีมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพรรคเท่านั้น แต่ยังทำให้ตัวพรรคแน่ใจได้ว่าได้คนที่มีความรู้ความสามารถสูงสุดขึ้นมารับตำแหน่ง และมีศักยภาพมากพอที่จะสืบทอดอำนาจและอิทธิพลของพรรคต่อได้จริง
ความท้าทายในการพัฒนาเศรษฐกิจท่ามกลางความขัดแย้ง อัตราการเกิดต่ำ
หลังจากขึ้นมารับตำแหน่งแล้ว สิ่งที่รอว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของสิงคโปร์อยู่ ก็คือ ความท้าทายในการพัฒนาเศรษฐกิจท่ามกลางความขัดแย้งทางเศรษฐกิจและทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ค่าครองชีพ โดยเฉพาะค่าที่พักอาศัยที่สูง อัตราการเกิดและอัตราการเจริญพันธุ์ที่ลดลงจนทำให้ประเทศเสี่ยงขาดแคลนแรงงาน และแรงต้านจากคนรุ่นใหม่ที่มองว่าลักษณะการครองอำนาจของ PAP นั้นทำให้ประเทศไม่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง
ตั้งแต่ได้รับเอกราชในปี 1965 รัฐบาลจากพรรค PAP ได้ทำงานเพื่อพัฒนาประเทศสิงคโปร์ และประสบความสำเร็จมาตลอดจนทำให้สิงคโปร์ซึ่งเป็นประเทศเกิดใหม่ก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการเงินและเศรษฐกิจของโลก และเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่เป็นประเทศรายได้สูงในปัจจุบัน โดยปัจจุบัน สิงคโปร์มี GDP ต่อหัวสูงถึง 82,807 ดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ ปัจจุบัน สิงคโปร์กำลังเจอปัญหาสำคัญที่จะส่งผลเสียต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต คือ ปัญหาค่าครองชีพ โดยเฉพาะค่าที่อยู่อาศัย และการที่ประชาชนรุ่นใหม่ตัดสินใจมีลูกน้อยลง ทั้งจากปัญหาค่าครองชีพและปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งส่งผลร้ายแรงต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของสิงคโปร์เป็นอย่างมาก เพราะสิงคโปร์เป็นเกาะเล็กๆ ที่มีทรัพยากรจำกัด ทำให้ต้องพึ่ง “ทรัพยากรคน” เป็นกำลังหลักในการพัฒนาประเทศ
โดยจากสถิติในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาพบว่า อัตราการเกิดเฉลี่ยต่อผู้หญิงหนึ่งคนในสิงคโปร์ลดลงไปต่ำกว่า 1 เหลือเพียง 0.97 เป็นครั้งแรกในปี 2023 ซึ่งเรียกได้ว่าวิกฤตจนทำให้นายกรัฐมนตรีลีเซียนลุงต้องออกมาพูดกระตุ้นให้ประชาชนมีลูกมากขึ้นในช่วงตรุษจีน
นอกจากนี้ สิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลางการเงินของภูมิภาคยังต้องติดตามปัญหาความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สิงคโปร์สามารถพัฒนาและเจริญความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับหลายๆ ฝ่ายโดยไม่กระทบกับการพัฒนาของประเทศในภาพรวม รวมไปถึงปัญหาในตะวันออกกลางและรัสเซียยูเครนที่ทำให้สภาพเศรษฐกิจโลกปั่นป่วนในช่วงที่ผ่านมา
ในเบื้องต้น รัฐบาลของนายหว่องมีแนวโน้มที่จะรักษาแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของ PAP ต่อไป ด้วยการเสริมอำนาจของสิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลางการเงิน และศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีของภูมิภาค โดยในเดือนกุมภาพันธ์ นายหว่องได้กล่าวในสุนทรพจน์ว่า รัฐบาลจะลงทุนเงิน 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สิงคโปร์เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา โดยเฉพาะในด้านปัญญาประดิษฐ์ ภาคการเงิน และพลังงานสะอาด ซึ่งล้วนแต่เป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพเติบโตสูงในอนาคต
อย่างไรก็ตาม แผนการดึงการลงทุนนี้อาจทำไม่ได้โดยง่าย เพราะประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียและอินโดนีเซียก็กำลังพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ เพื่อดึงการลงทุน และยังมีข้อได้เปรียบในด้านทรัพยากร และค่าแรงค่าที่ที่ต่ำทำให้บางบริษัทตัดสินใจย้ายการลงทุนจากสิงคโปร์ไปยังประเทศเหล่านี้มากกว่าเพื่อลดต้นทุน โดยอย่างมาเลเซียเองก็เพิ่งออกมาตรการทางภาษีออกมาเพื่อดึงให้บริษัทต่างชาติไปตั้งสำนักงานใหญ่ในประเทศ
จากความท้าทายเหล่านี้ จึงเรียกได้ว่า นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของสิงคโปร์มีงานช้างรออยู่ ทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจที่ทำได้ไม่ง่ายเหมือนสมัยผู้นำคนก่อน และการรักษาชื่อเสียง รวมไปถึงปรับภาพลักษณ์ของพรรคให้น่าดึงดูดสำหรับคนรุ่นใหม่เพื่อสืบทอดอำนาจของพรรค
อ้างอิง: Nikkei Asia, CNA, The Diplomat