จากกรณีบอส อายุ 16 ปี ประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ล้ม ได้รับบาดเจ็บศีรษะแตก กะโหลกมีรอยร้าว เมื่อวันที่ 24 ส.ค. ที่ผ่านมา โดยผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่ารถเมล์สาย 113 เป็นผู้เฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์คันดังกล่าว จนเกิดอุบัติเหตุตามที่นำเสนอไปแล้วนั้น (อ่าน :
คนขับเมล์ 113 เสียงแข็งไม่ได้ทับหัว นร.กะโหลกแตก คาดขี่มือเดียวล้มเอง ถ้าเหยียบคงตาย)
วันที่ 18 ก.ย. 61 นายเลิศสินชัย บุญลาภสินทรัพย์ พ่อของบอส พาน้องบอสมาให้ปากคำกับร้อยเวรเจ้าของคดีที่ สน.บางชัน ซึ่งในขณะนี้อาการดีขึ้น ออกจากโรงพยาบาลแล้ว
บอส ผู้บาดเจ็บ เปิดเผยว่า วันที่เกิดเหตุ ตนขับรถจักรยานยนต์จากบ้านมาที่โรงเรียน ไม่ได้ใส่หมวกกันน็อก เนื่องจากหมวกกันน็อกหายในวันดังกล่าว โดยเมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุ บริเวณสะพานหลอแหล ย่านรามคำแหง รถเมล์คันดังกล่าวก็ทำท่าจะหยุดรถเพื่อจะให้ตนขึ้นสะพาน แต่เมื่อรถของตนกำลังเบี่ยงไปทางขวาเพื่อขับขึ้นสะพาน รถเมล์คนดังกล่าวกลับวิ่งต่อ ทำให้เฉี่ยวรถตนล้มไป หลังจากนั้นตนก็สลบไป ไม่รู้สึกตัวอีก
น.ส.พัชรรัตน์ ยืนยันว่า ในวันเกิดเหตุได้ขับขี่รถจักรยานยนต์โดยจับแฮนด์ทั้งสองมือ ขณะนั้นสภาพการจราจรค่อนข้างติดขัด แต่เนื่องจากรถเมล์คันดังกล่าวชะลอรถ จังหวะที่รถเมล์วิ่งมาเฉี่ยวนั้น จึงค่อนข้างเร็วเพราะถนนข้างหน้ามีช่องว่างอยู่ ทั้งนี้ หลังจากเกิดอุบัติเหตุจนถึงขณะนี้ ก็ยังคงรู้สึกเจ็บแผลเป็นที่หัวเข่า นอกจากนี้ ตาและปากของตนขยับได้ไม่สะดวก และยังไม่สามารถหลับตาข้างขวาได้ ยังคงเข้าไปพบแพทย์อยู่เป็นระยะ แต่ไม่ทราบว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ตนอยากฝากเรื่องนี้ไว้เป็นอุทาหรณ์แก่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ว่าให้ระมัดระวังในการขับขี่และควรสวมใส่หมวกกันน็อก เพราะหากวันที่เกิดเหตุตนใส่หมวกกันน็อกก็คงไม่เจ็บหนักแบบนี้
นายเลิศสินชัย บุญลาภสินทรัพย์ พ่อของบอส เปิดเผยว่า ขณะนี้ลูกสาวมีอาการดีขึ้นตามลำดับ โดยออกจากโรงพยาบาลเมื่อวันอังคารที่ 4 ก.ย. แต่คงต้องเข้าไปรักษาตัวอยู่เรื่อย ๆ โดยผลจากการกระทบกระเทือนที่ศีรษะทำให้ตายังเข และปากยังเบี้ยว โดยในวันพรุ่งนี้ (19 ก.ย.) แพทย์นัดให้ไปผ่าตัดที่นิ้วนางข้างขวา ในขณะนี้กระดูกซ้อนกัน คาดว่าน่าจะเกิดจากการถูกล้อรถเหยียบ
ทั้งนี้ บอสยืนยันว่า ถูกรถเมล์สาย 113 เฉี่ยวล้มจริง และยืนยันว่าได้ขับขี่รถสองมือ ไม่ได้ขับมือเดียวอย่างที่คนขับรถเมล์กล่าวอ้าง อีกทั้งได้มองกระจกรถ และระมัดระวังตัวแล้ว ส่วนคนขับ ที่ปฏิเสธว่าไม่ได้เฉี่ยวนั้น ก็เป็นธรรมดาที่คนผิดมักจะปฏิเสธไว้ก่อน
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตนรู้สึกสบายใจขึ้นมาก ที่ลูกสาวมีอาการดีขึ้น จนสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ โดยต้องขอบคุณทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ที่ช่วยนำเสนอข่าว และขอบคุณคณะครูที่ช่วยเหลือ โดยตนมองว่าที่ลูกสาวรอดชีวิต ถือเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นเพียง 1 ใน 100 หลังจากนี้ ยืนยันว่ายังอนุญาตให้ลูกขับขี่รถจักรยานยนต์ได้ตามปกติ แต่เฉพาะเท่าที่จำเป็นเท่านั้น