กรณีภรรยาของนายโกศล ผู้สูญหาย ได้ยินเสียงปืนจากบ้านหลังหนึ่ง หลังจากที่สามีไปดื่มเหล้าจึงไปตามถึงบ้าน เจ้าของบ้านไม่ทราบว่าสามีไปไหนเพราะขณะนั้นกำลังนอนหลับ แต่ภรรยาผู้สูญหายสังเกตเห็นมีรอยเลือดเป็นทาง มีร่องรอยการล้างเลือดตามพื้นถนน มีรอยเลือดติดบนใบหญ้า แต่ไม่พบตัวสามี จนกระทั่งตำรวจออกหมายจับแล้ว 8 คน และอยู่ระหว่างการค้นหาผู้สูญหายด้วยนั้น
วันที่ 31 พ.ค. 64 เมื่อเวลา 13.00 น. ที่กองบังคับการปราบปราม พหลโยธิน กรุงเทพฯ นางจินดาหรา วสินทรัพย์ ภรรยาของเสี่ยโกศล เดินทางมาพร้อมกับนายจีรพันธ์ เพชรขาว หรือ หมอปลา และนายไพศาล เรืองฤทธิ์ ทนายความ ถือซองเอกสารสีน้ำตาล ระบุหน้าซองว่า "ขอให้กองปราบปรามเร่งรัดดำเนินการจับกุมผู้ต้องหา คดีอุ้มฆ่าเสี่ยโกศล" โดยมี พ.ต.อ.สุชาติ อิ่มสวัสดิ์ รองผกก.สอบสวนกองบังคับการปราบปรามฯ เป็นตัวแทนรับมอบ
ทันทีที่ภรรยาเสี่ยโกศลมีการยืนเอกสาร ได้ก้มลงกราบพร้อมกับพูดว่า "พี่ช่วยหนูหน่อยนะคะ ช่วยเราด้วย มันไม่มีที่พึ่งแล้วจริง ๆ"
นางจินดาหรา เปิดเผยว่า ตนเองเดินทางมาในวันนี้เพราะไม่มีที่พึ่งแล้ว อย่างน้อยความหวังที่มาพึ่งกองปราบปรามฯ จะสามารถดำเนินการจับกุมผู้ต้องหาที่หลบหนีได้ ที่ผ่านมาไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานกันอย่างไร แม้ว่าจะมีการออกหมายจับ แต่ก็ยังดำเนินการจับกุมใครไม่ได้ เชื่อมั่นในการทำงานของกองปราบปรามว่าจะสามารถจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายได้ อย่างน้อยก็เป็นเบาะแสทำให้รู้จุดทิ้งศพของสามี เพราะถ้าจับคนร้ายได้ก็จะเจอร่างของสามี
สำหรับความคืบหน้าของชุดทำงาน จะมีการติดตามตรวจพบเบาะแสโดยเฉพาะกล่องดำหรือดาวทะเล ตัวเองก็ไม่รู้ว่ากล่องดังกล่าวจะเป็นเบาะแสที่สามารถตามหาสามีได้จริงหรือไม่ หรือจะมีการเก็บกู้ข้อมูลและเห็นเส้นทางการเดินเรือที่ชัดเจนจริงหรือไม่ เพราะเจ้าหน้าที่อ้างว่าผู้ต้องหาลบข้อมูลไปแล้ว
ส่วนในเรื่องของความปลอดภัย ยอมรับว่ามีความกังวลอยู่มาก ไม่ว่าตัวเองจะหนีออกไปซ่อนตัวหรือพักพิงอยู่ที่ใด หรือแม้แต่จะตัดสินใจกลับบ้านที่ จ.นครสวรรค์ ตราบใดที่คนร้าย 8 คนยังหนีได้ ตนเองก็คงไม่มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน อีกทั้งการออกมาจากพื้นที่ตำบลตะกรบ เมื่อกลับเข้าไปได้แล้วก็คงจะกลัวเหมือนเดิม ซึ่งหากยังจับใครไม่ได้ ตนเองก็ต้องค้นหาเบาะแสร่างของสามีกับเครือญาติกันต่อไป เพราะต้องการร่างมาบำเพ็ญกุศลตามศาสนา
ย้อนเหตุการณ์วันที่ 20 พ.ค. 64 เวลา 14.12 น. ช่วงที่ครอบครัวเสี่ยโกศลลงพื้นที่บ่อทรายของนายสุรัตน์ มีชาวบ้านและคนในครอบครัวรวมกว่า 13 คน และทีมข่าว 3 คน รวม 16 คน กลับไปค้นหาร่องรอยการขุดหลุมฝั่งร่าง เป็นการค้นหากันเอง ไม่มีเจ้าหน้าที่เข้ามาร่วมค้นหา มีการกระจายค้นหาบริเวณริมคลองพุมเรียง จุดละแวกในรัศมี 20 - 30 เมตร จากจุดที่เจอเสาปูนถูกทุบ ช่วงเวลานั้นมีทีมช่างภาพและผู้ช่วยช่างภาพของทีมข่าว 2 คนย้อนกลับไปที่รถข่าว ซึ่งติดหล่มทรายจุดฝั่งร่างเสี่ยโกศล ห่างจากจุดที่ทุกคนรวมตัวกันอยู่ประมาณ 300 เมตร
จังหวะนั้น ผู้สื่อข่าวไม่ได้ตามไปแต่เดินไปพร้อมผู้ใหญ่บ้าน และนางจินดาหรา ภรรยาเสี่ยโกศล เจอกับเรือต้องสงสัยมีคน 2 คนจอดเรือแล้วขึ้นไปที่บนฝั่ง เมื่อเข้าไปสอบถามชายคนดังกล่าวอ้างว่ามาส่องนก หลังถูกถามจี้ชายคนดังกล่าวได้รีบไปที่เรือแล้วขับเรือออกไป 1 คน
ทั้งนี้ ขณะที่ชายคนดังกล่าวกำลังจะขึ้นเรือหนีออกไป ทีมข่าวถ่ายคลิปเดินตามลงไปเป็นช่วงสั้น ๆ หลังถูกมองหน้า แล้วชายคนดังกล่าวมีลักษณะไม่พอใจ คลิปถ่ายติดรอยเท้าที่เดินออกจากเรือ มีรอยเท้าคล้ายกับ 2 รอย คือรองเท้าผ้าใบกับรองเท้าสวม ชายที่ออกเรือไปเพียงลำพังใส่รองเท้าสวมสีดำเหลือง ซึ่งไม่ใช่รองเท้าผ้าใบ
นายจีรพันธ์ เพชรขาว หรือ หมอปลา เปิดเผยว่า ตนเองพานางจินดาหรามาร้องกองปราบปราม เพื่อหวังพึ่งกระบวนการของหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือ เนื่องจากที่ผ่านมาชุดทำงานที่มีการเร่งรัดจับกุมแต่ไม่ดำเนินการใดมีเพียงแค่น้ำลายเท่านั้น และมีการตั้งโต๊ะแถลงอ้างว่าจับกุมผู้ต้องหาได้แล้ว 4 คน แต่ก็กันเอาไว้เป็นพยาน หรือแม้แต่การควบคุมบุคคลไปทำแผนประกอบรับคำสารภาพก็ไม่บอกว่าผู้ต้องหานั้นคือใคร ที่ผ่านมาคดีเดินหน้าไปแล้ว 1 เดือน ถ้าหากชุดทำงานอ้างว่ามีการทำงานอยู่ ทำไมถึงจับใครไม่ได้
ถ้าหากย้อนกลับไปในทุกวันที่ภรรยาเสี่ยโกศลลงพื้นที่ไปตามหาร่างของสามี ไปพร้อมกับนักข่าว มีคนมาสะกดรอยติดตาม โดยปลอมตัวว่าเป็นคนส่องนก ตอนจอดเรือมา 2 คน และเมื่อถูกนักข่าวและชาวบ้านไปเจอ ก็ลงเรือกลับออกไปเพียงแค่ 1 คน แต่อีกคนหลบหนีอยู่ในป่า คนดังกล่าวคือเจ้าหน้าที่เป็นคนที่ทำงานให้กับฝั่งของนายสุรัตน์ ผู้ต้องหา สังเกตได้ว่าคือความมีอิทธิพล ดังนั้นการเดินทางมาที่กองปราบปรามวันนี้จึงฟังเป็นที่พึ่งของกระบวนการที่จะทำให้คดีมีความคืบหน้า ตนเองมั่นใจว่าหน่วยงานนี้จะคลี่คลายคดีได้ แต่ถ้าหากกองปราบปรามยังทำงานได้ไม่เต็มที่ ก็จะเดินทางไปร้องต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติต่อไป