เปิดใจ! พ่อ “เอเดน” หนูน้อย 5 เดือนป่วยหนัก รอคนบริจาคสเต็มเซลล์ ช่วยลูกรอดชีวิต (คลิป)

จากกรณีโลกออนไลน์ ได้มีการแชร์เรื่องราวของน้องเอเดน วัย 5 เดือน เด็กที่ป่วยด้วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด และต้องอยู่ในห้องปลอดเชื้อนานกว่า 1 เดือน และโรคนี้ยังมีค่ารักษาด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูกนั้น

วันที่ 13 ส.ค. 61 นายวสันต์ สีตก หรือ นก พ่อของน้องเอเดน เปิดเผยว่า แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลเด็กได้ตรวจวินิจฉัยโรคพบว่าน้องเอเดน มีป่วยและเข้าข่ายเป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการส่งตรวจเชิงลึกระดับโครโมโซมเพื่อยันยันว่าน้องป่วยเป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิดจริง แม้ว่าจะยังไม่ได้รับการยืนยันที่แน่ชัดแต่ก็มีความเป็นไปได้สูงเนื่องจาก น้องเอเดนมีอาการป่วยง่าย สามารถรับเชื้อโรครอบข้างได้อย่างง่ายดาย อย่างล่าสุด ต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ในห้องปลอดเชื้อ เป็นระยะเวลานาน 1 เดือน ด้วยการรักษาโรคอาการป่วยปอดอักเสบ ที่เริ่มจากอาการป่วยเป็นไข้หวัดปกติและลามลงไปถึงปอด และหลังจากนี้ก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่า น้องเอเดนจะป่วยหรือรับเชื้อโรคอะไรอีกหรือไม่ เพราะโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องเกิดจาดเซลล์เม็ดเลือดขาวไม่มี ดังนั้นวิธีที่จะทำให้น้องเอเดนหาย จากอาการและเติบโตมาเป็นเหมือนเด็กๆปกติทั่วไปนั้น จะต้องมีการปลูกถ่ายไขกระดูดสันหลัง โดยใช้สเต็มเซลล์เท่านั้น

นายวสันต์ ยังบอกอีกว่า จากข้อมูลที่ได้ไปดูมา จากสภากาชาดไทย มีคนประสงร่วมบริจาคสเต็มเซลล์ 200,000 กว่าคน แต่มีคนขอรับอีกประมาณ 1,000 คน และรักษาสำเร็จไปแล้วในหลักร้อย ซึ่งหมอกเคยบอกกับครอบครัวว่าอัตตราในจำนวนผู้ร่วมบริจาค 10,000 คน จะมีคนที่เข้ากันได้เพียง 1 คนเท่านั้น และหลังจากนี้ทางหมอได้แนะนำให้ครอบครัวเตรียมเงินมูลค่ากว่า 1,000,000 บาท เพื่อเตรียมรับการผ่าตัดปลูกถ่ายสเต็มเซลล์กระดูดสันหลัง ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่ลูกชายจะกลับมาเป็นปกติ แต่ที่ยากไปกว่านั้นและมีความกังวลใจมากที่สุดคือจำนวนผู้บริจาคในตอนนี้มีไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงอยากเชิญชวนให้จำนวนผู้ประสงค์ร่วมบริจาคมีเพิ่มมากขึ้น เพื่อจะทำให้ผู้ป่วยที่รอความหวังได้มีโอกาส มีชีวิตรออยู่ต่อไปได้ สุดท้าย นายวสันต์  บอกอีกว่า โรคที่ต้องการสเต็มเซลล์ไม่ใช่โรคโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องเท่านั้น แต่ยังมีโรคอื่นๆ อาทิ โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคธารัสซีเมีย โรคที่เกี่ยวกับเลือด ผู้ป่วยทุกคนต้องการความจำเป็นต้องการสเต็มเซลล์ในการรักษา ดังนั้นหากมีผู้ร่วมบริจาคเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยก็มีโอกาสรอดสูงขึ้นไปด้วย