หลังจากมีข่าวว่า
"แม่ชีศันสนีย์" ป่วยเป็นโรคมะเร็งในช่องท้องระยะลุกลาม ก็ทำเอาหลายคนถึงกับช็อคไปตามๆ กัน พร้อมทั้งแห่ไปให้กำลังใจท่านกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งในเพจเฟซบุ๊กของเสถียรธรรมสถาน ก็โพสต์แจ้งข่าวร้ายนี้ให้ทุกคนได้รับรู้
ส่วนคนบันเทิงอีกหนึ่งคนอย่าง
"หนิง ปณิตา" ผู้ที่เป็นลูกศิษย์และเคยได้โกนผมเพื่อบวชชีมาแล้ว ก็โพสต์แจ้งข่าวนี้เช่นกัน "ทีมข่าวอมรินทร์" จึงได้ไปพูดคุยกับเธอ ก็ได้รู้ว่านักแสดงคนดังกล่าวรู้เรื่องอาการป่วยมาระยะหนึ่งแล้ว และที่บวชในครั้งนั้นส่วนหนึ่งก็เพื่อให้ "แม่ชีศันสนีย์" หายป่วยด้วยเช่นกัน โดยสาว
"หนิง" เล่าว่า
"ตอนที่อยู่ที่เสถียรธรรมสถาน ก็คือจะมีวันหนึ่งเห็นยายเพลียๆ ท่านทำงานหนักมาก เวลาเราเข้าไปทำบุญเห็นสีหน้าท่านยิ้มแย้ม จนในขณะวันที่ท่านป่วยก็ยังเห็นว่ามีแววตาที่อ่อนโยน มีรอยยิ้มที่สดใส แต่ข้างในท่านเหนื่อย มีอยู่วันหนึ่งท่านบอกกับคนที่บวชว่า วันนี้อาจจะต้องพักเร็วนิดหนึ่ง แต่พักเร็วของท่านก็ยังสองสามทุ่ม คิดดูว่าถ้าไม่เร็วจะกี่โมง"
ตอนที่รู้ข่าวตกใจไหม
"
คือจริงๆ จะบอกว่าเราทราบข่าวตั้งแต่วันที่เอาบาตรไปถวาย พอถวายเสร็จแล้วก็ยังยืนรอท่านอยู่ แล้วก็บอกว่ายายๆ ต้องรักษาสุขภาพพักผ่อนเยอะๆ นะ วันนี้ยายดูเหนื่อยๆ นะ ยายก็เลยบอกเราตั้งแต่วันนั้นแล้ว แต่ว่าด้วยความที่เราเป็นเด็ก หนิงเชื่อว่าทุกคนใกล้ตัวที่รู้ ก็คงมีการพูดคุยอยู่แล้ว แต่ก็คงไม่อยากจะบอก เราก็เลยไม่อยากจะไปซักอะไรมาก อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อยากจะบวชด้วย ไม่ใช่วันนั้นแค่อยากจะบวชถวายรัชกาลที่ 9 อย่างเดียว
แต่หนิงยังไม่สามารถพูดได้ ณ วันนั้น เพราะว่ามันยังไม่ได้เป็นเรื่องที่หลายๆ คนรู้ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่เหมาะที่จะออกมาจากปากเรา
จนกระทั่งเมื่อวานนี้ยายจะต้องมีคิวอัดรายการคุยแซ่บโชว์ ที่หนิงเป็นพิธีกร แล้วก็เลยทราบว่ายายไปโรงพยาบาลเพราะว่ายายเหนื่อย ก็เลยได้ทราบรายละเอียดว่าจริงๆ ยายเป็นมะเร็งระยะลุกลาม
แต่เชื่อว่าท่านเอาอยู่ อยู่แล้ว เพราะว่าท่านปฏิเสธการใช้คีโม ท่านใช้ธรรมชาติบำบัด มีวิธีในการดูแลตัวท่านเอง ซึ่งรายละเอียดก็ขอให้สัมภาษณ์ยายพรุ่งนี้ เพราะยายจะแถลงข่าวพรุ่งนี้ ทุกคนพอทราบข่าวก็เป็นห่วง หนิงก็เป็นห่วง คือท่านก็เหมือนคนในครอบครัวเราคนหนึ่ง ที่เวลาเราเจอท่านตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ท่านมีแต่ความเมตตา เมตตาไม่ใช่กับหนิงคนเดียวนะแต่กับทุกๆ คน ทำงานหนักก็เพื่อลูกๆ หลานๆ"
ท่านเป็นมานานแค่ไหนแล้ว
"เรื่องระยะเวลาหนิงไม่แน่ใจ อาจจะต้องถามท่านเอง หนิงเองก็อาศัยฟังจากคนรอบข้างไม่กล้าถามคนใกล้ชิดท่าน ถามว่าได้เข้าไปเยี่ยมไหมคือ หลังจากที่หนิงสึกออกมา มีงานอะไรหนิงก็ยังไปช่วยงานอยู่ แต่แค่ไม่ได้ขอพบท่าน เพราะหนิงรู้สึกว่า การที่เราเข้าไปขอพบ แทนที่ยายจะได้พักผ่อนก็ต้องมาต้อนรับแขกอีก หนิงก็เลยคิดว่าเราอยู่กันสบายๆ ดีกว่า"
ทราบไหมว่าทำไมท่านถึงไม่ยอมบอกใครเลย
"ท่านคงกลัวว่าหลายๆ คนจะเป็นห่วงท่าน แต่ว่าท่านเองก็มีวิธี การที่จะดูแลตัวเอง แต่เราก็รู้สึกว่าท่านคิดว่าท่านดูแลตัวเองได้ แต่ในความรู้สึกเราเวลาคนใกล้ตัวพอรู้ว่าป่วยเป็นโรคนี้ มันอดไม่ได้ที่เราจะวิตกกังวล "
ตัวเราเองอยากให้ท่านหันมาพึ่งทางแพทย์ด้วยไหม
"
หนิงบอกเลยว่าหนิงไม่สามารถที่จะคิดแทนยายได้ เพราะหนิงเชื่อว่ายายทำสิ่งที่ดีที่สุดกับตัวยายเอง อย่างวันเกิดยายเมื่อเร็วๆ นี้ที่ผ่านมาหนิงเข้าไป ยังบอกยายเลยว่า ดูแลรักษาตัวเองดีๆ นะ ยายก็พูดกับลูกศิษย์ลูกหากับคนที่มาหาว่า
โอ้ยฉันยังไม่เป็นอะไรหรอก ฉันยังไม่ตาย ฉันยังห่วงลูกหลานฉันที่ความทุกข์อีกเยอะ ฉะนั้นคำพูดของยายตรงนี้เหมือนยายรู้ตัวยายเองดีว่ายายยังเป็นห่วงคนอื่นอยู่ ฉะนั้นยายจะต้องมีวิธีที่จะเอาชนะโรคร้ายเหล่านี้ ในส่วนของเราเอง เราเป็นลูกหลานก็ได้แต่เป็นกำลังใจให้ อะไรที่พอจะช่วยเหลือได้จุดเล็กๆ เป็นมือเป็นไม้เป็นแขนเป็นขาได้บ้าง เราก็อยากที่จะช่วย แล้วหนิงก็อยากให้คนที่เป็นลูกๆ หลานๆ ยาย ช่วยกันทำให้เสถียรธรรมะสถานเป็นที่ที่เข้าไปแล้วสบายใจ เพราะยายเคยบอกว่าอยากให้บ้านหลังนี้ มีคนเข้ามาแล้วออกไปมีความสุข "
แสดงว่าส่วนตัวคิดว่ายายหายแน่นอน "ค่ะ"
ส่งกำลังใจให้กับท่านยังไงบ้าง
"ก็ได้แต่เอาใจส่งไป ถามว่ามีร้องไห้ไหม ก็มีจุกๆ แต่ถ้าจะให้เข้าไปเยี่ยม หนิงคงไม่ทำเพราะหนิงเชื่อว่าคนทำเยอะแล้ว ก็เลยสวดมนต์อยู่ที่บ้านแล้วก็แผ่เมตตาให้กับท่าน"