รวบอดีต ตชด.อุ้มฆ่า 2 ศพ เป็นคนร้ายหมายจับปฏิทินมือปืน ตร.ปี 67

8 พ.ค. 67

คอมมานโด ตามรวบอดีต ตชด. อุ้มฆ่าทิ้ง 2 ศพ แถมยังเป็นคนร้ายสำคัญตามหมายจับปฏิทินมือปืน ตร.ปี 67 

 

วันที่ 8 พ.ค.67 พล.ต.ต.ศุภากรณ์ จันทาบุตร ผบก.ปพ.สั่งการให้พ.ต.อ.เรืองรัตน์ หงษ์ทิพรัตน์ ผกก.สายตรวจฯ พ.ต.อ.เจษฎา ชุมพล ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.ปพ.พร้อมตำรวจสภ.เจาะไอร้อง เข้าจับกุม ส.ต.อ.คมกริช มณีวงศ์ อายุ 39 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัด ปี2558 ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่รับอนุญาต , และร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น ต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย”

โดยจับกุมได้ที่บ้านหลังหนึ่งในพื้นที่ ม.10 ต.มะรือโบออก อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ขณะที่ส.ต.อ.คมกริช กำลังยืนอยู่ที่หน้าบ้าน เมื่อเห็นกลุ่มเจ้าหน้าที่จะบุกเข้ามาจับกุม ผู้ต้องหาก็รีบวิ่งเข้าไปหยิบปืนจากในบ้านมาเพื่อต่อสู้ แต่ถูกเจ้าหน้าที่บุกเข้าจับกุมได้ก่อน

จากนั้นพาผู้ต้องหาตรวจค้นหลักฐาน พบอาวุธปืนสั้น 5 กระบอก และกระสุนปืนอีกจำนวนหนึ่งด้วย

การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 6 มิ.ย.58 สภ.สิงหนคร จ.สงขลา รับแจ้งว่านายภาณุ อายุ 21 ปี และนายนเรนทร์ฤทธิ อายุ 17 ปี ถูกคนร้ายบุกอุ้มตัวไปตั้งแต่เย็นวันที่ 7 มิ.ย. ก่อนพบเป็นศพถูกฆ่าทิ้งทะเลสาบสงขลา ต.สทิ้งหม้อ อ.สทิงพระ จ.สงขลา สภาพศพถูกยิงด้วยอาวุธปืนที่ศีรษะ และถูกตีด้วยของแข็งจนกะโหลกยุบ ส่วนสาเหตุมาจากการหักหลังขบวนการยาเสพติด

ต่อมาหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้สืบสวนสอบสวนจนทราบตัวคนร้ายมีด้วยกันทั้งหมด 5 คน ประกอบด้วย  นายธรพล หรือกอล์ฟ สังดำ , นายนิวัติ หรือหมีใหญ่ หิรัญพันธุ์ , นายจักรกฤษ หรือเขต จันทร์คง, นายศราวุธ หรือนฤชัย หนนท์ ทั้งหมดถูกจับกุมไปแล้ว เหลือเพียงส.ต.อ.คมกริช ที่เพิ่งถูกตามจับได้

สอบสวน ส.ต.อ.คมกริช ให้การรับสารภาพว่า เป็นบุคคลตามหมายจับจริง แต่ตนไม่ใช่คนลงมือยิง โดยยอมรับว่าอยู่ร่วมเหตุการณ์ด้วย  จึงนำตัวผู้ต้องหานำส่ง สภ.เจาะไอร้อง ดำเนินคดีต่อไป

สำหรับประวัติของส.ต.อ.คมกริช นั้นเคยรับราชการเป็นตำรวจตระเวนชายแดน แต่ถูกให้ออกจากราชการเมื่อปี 2557 เพราะมีประวัติเข้าไปพัวพันยาเสพติด หลังก่อเหตุก็หลบหนีคดีเรื่อยมาเป็นเวลากว่า 10 กระทั่งมาถูกจับกุมตัวได้ในที่สุด

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส