เหยื่อตร.จราจรขู่ฟ้องกลับ โชว์แผลถูกซ้อมน่วม - ทนายจี้เอาผิดเป็นเยี่ยงอย่าง (คลิป)

24 เม.ย. 60
จากกรณีที่เฟซบุ๊กชื่อ “เจมส์ บอนด์” ได้โพสต์คลิปไปยังกลุ่ม “ปลดแอกชาวสองล้อ” เป็นภาพขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 นาย พยายามควบคุมตัวชายรายหนึ่งริมถนนทางรถไฟสายเก่าปากน้ำ ย่านคลองเตย ซึ่งประชาชนที่เห็นเหตุการณ์ต่างพยายามที่จะเข้าไปช่วยเหลือชายดังกล่าวด้วย โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กรายดังกล่าว ยังได้ตำหนิการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า จับประชาชนเยี่ยงอาชญากร เพราะถ่ายรูปการทำหน้าที่ ด้านตำรวจก็ได้ออกมาชี้แจงเรื่องนี้ว่า ชายคนดังกล่าวได้ถ่ายภาพรบกวนการทำงานของเจ้าหน้าที่ เมื่อขอดูบัตรกลับวิ่งหนีไปชนกระจกชาวบ้านพังเสียหาย พร้อมยังบอกด้วยว่าชายรายนี้สารภาพว่าดื่มสุราจนเมาด้วย ล่าสุด วันที่ 24 เมษายน 2560 นายปาโมกข์ รอดเที่ยง ชายที่ปรากฎในคลิป พร้อมด้วยนางสาวธัญญพัทธ์ เลิศเสรีกุล ภรรยา ได้เปิดเผยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ผ่านรายการต่างคนต่างคิด  โดยนายปาโมกข์ เล่าว่าวันที่เกิดเหตุตนได้นัดกินข้าวกับภรรยา ระหว่างเดินทางจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อจะถ่ายรูปป้ายถนน เพื่อจะไปให้ภรรยาดูว่าเดินทางถึงบริเวณใดแล้ว ไม่ได้มีเจตนาที่จะถ่ายภาพเจ้าหน้าที่ขณะตั้งด่านแต่อย่างใด
นายปาโมกข์ รอดเที่ยง ผู้เสียหาย
ระหว่างนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจอาจเข้าใจผิด จึงได้ตะโกนบอกให้หยุดเดิน ถามว่าถ่ายอะไร และพยายามจะขอค้นโทรศัพท์มือถือและบัตรประชาชน แต่ตนเองไม่ให้ "เขาบอกสงสัยเป็นต่างด้าว ตอนนั้นในหัวสมองผมคิดว่าไปหาที่ที่มีพยานดีกว่า เพื่อเซฟตัวเอง เราจะหาคนที่คนเยอะ ๆ" หลังจากนั้นจึงเกิดการยื้อยุดฉุดกระชากขึ้น โดยเจ้าหน้าที่พยายามล็อคกุญแจมือ ตอนนั้นตนก็ถามว่าจับกันในข้อหาอะไร แต่ก็ไม่มีคำตอบจากเจ้าหน้าที่ จนกระทั่งชาวบ้านเริ่มเข้ามา
รอยช้ำที่เกิดจากการใส่กุญแจมือ
โดยระหว่างให้สัมภาษณ์ในรายการ นายปาโมกข์ยังเปิดให้ดูรอยแผลบริเวณข้อศอก ลำคอ และบริเวณข้างลำตัว ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างที่เจ้าหน้าที่เข้าจับกุมตัว
สะเก็ดแผลบริเวณข้อศอก
รอยช้ำบริเวณลำคอ
รอยช้ำและแผลบริเวณข้างลำตัว
นายปาโมกข์เล่าต่อว่า หลังจากถูกจับกุมตัวไปเจรจาบริเวณด่านเก็บเงินใต้ทางด่วน โดยภรรยาตามมาสมทบภายหลัง ส่วนประเด็นที่ฝ่ายตำรวจชี้แจงว่า วันเกิดเหตุนายปาโมกข์มีอาการคล้ายคนเมาสุรานั้น นายปาโมกข์บอกว่า ไม่เป็นความจริง ในช่วงเช้าซึ่งเป็นเวลาเกิดเหตุ ตนไม่มีอาการมึนเมา แต่ยอมรับว่าดื่มสุรามาตั้งแต่ประมาณ 2 ทุ่มก่อนวันเกิดเหตุ
ธัญญพัทธ์ เลิศเสรีกุล ภรรยานายปาโมกข์
ทั้งนี้ ภรรยาของนายปาโมกข์บอกว่าตนไม่เข้าใจว่าทำไมตำรวจถึงยกเรื่องเมาขึ้นมาพูด เพราะวันเกิดเหตุสามีตนไม่ได้ขับรถแต่เดินบนถนน ด้วยความรอบคอบจึงขอแก้ไขข้อความ "นายปาโมกข์ยอมรับว่าได้ดื่มสุรามา" โดยให้เจ้าหน้าที่เขียนระบุด้วยว่านายปาโมกข์ดื่มเมื่อเวลาไหน ฝ่ายตำรวจพยายามเจรจาขอให้เรื่องจบลงตรงนี้ ซึ่งนายปาโมกข์ยอมรับว่ารู้สึกกลัว และคิดเพียงว่า ต้องออกจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด” จึงยินยอมชดใช้ค่าซ่อมกระจกเป็นเงิน 2,000 บาทให้กับชาวบ้านในที่เกิดเหตุ แต่ในบันทึกการเจรจาไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา "ทุกอย่างเกิดขึ้นจากความกลัว ตอนนั้นเราสองคนต้องการเดินออกจากตรงนั้น ไม่ว่าเขาจะตั้งข้อหาอะไรตอนนั้น ถ้าไม่ต้องติดคุก พี่ยอม จะจ่ายเงินเท่าไหร่พี่ยอม  เขาบอกว่าไม่ต้องจ่ายเงินค่าปรับ แต่ให้คุณเซ็นรับสารภาพว่ากระจกแตกเกิดจากกระทำของฝั่งเรา" ภรรยานายปาโมกข์กล่าว ภรรยาของนายปาโมกข์ บอกด้วยว่า หลังจากนั้นมีผู้บังคับบัญชาของตำรวจ 4 นายโทรมาขอโทษที่ลูกน้องได้กระทำความผิด ตนจึงตอบกลับไปว่าขอโทษอย่างเดียวไม่ได้ เพราะสังคมได้ประณามว่าสามีตนเมาแล้วกระทำความผิด โดยจะต้องขอโทษออกสื่อ จะต้องลบล้างข้อความในสำนวนที่ไม่เป็นความจริงทั้งหมดต่อหน้าสื่อด้วย
รณณรงค์ แก้วเพ็ชร ทนายความ
ด้านทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร ยืนยันว่า ประชาชนสามารถถ่ายคลิปเจ้าหน้าที่ขณะปฏิบัติงานได้ ส่วนกรณีของนายปาโมกข์ที่ไม่แสดงบัตรประชาชนต่อเจ้าหน้าที่ถือว่าผิด แต่ตำรวจไม่มีสิทธิ์ค้นหรือยึดโทรศัพท์มือถือ หากยังไม่มีการตั้งข้อกล่าวหา เพราะนายปาโมกข์ยังไม่ได้อัพโหลดภาพบนโซเชียลที่ทำให้ใครเสื่อมเสีย นอกจากนี้ เมื่อมีการใส่กุญแจข้อมือนายปาโมกข์แล้ว โดยหลักการจะต้องทำบันทึกการจับกุมส่งผู้บังคับบัญชาด้วย กรณีนี้เป็นการจับโดยไม่ตั้งข้อกล่าวหา ถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนกรณีตำรวจคุมตัวพาไปเจรจาใต้ทางด่วน โดยไม่ส่งสน.ท้องที่ ทนายรณรงค์บอกว่าสามารถทำได้ แต่สุดท้ายเรื่องจะต้องไปจบที่โรงพัก "ถ้าบริสุทธิ์จริง ทำไมไม่พาไปหาพนักงานสอบสวนตั้งแต่แรก เอาไปเจรจาทำไม" ทนายกล่าว
ณัชพล สุพัฒนะ หรือ มาร์ค พิทบูล
ด้าน นายณัชพล สุพัฒนะ หรือ มาร์ค พิทบูล กล่าวในรายการว่า กรณีนี้โชคดีที่มีชาวบ้านมาพบเห็นแล้วไม่เพิกเฉยต่อเหตุการณ์ เพราะถ้านายปาโมกข์อยู่เพียงลำพังอาจจะไม่จบแบบนี้ มาร์ค พิทบูลยังบอกอีกว่า หากนายปาโมกข์ไม่เอาเรื่องตำรวจกลุ่มนี้ เท่ากับส่งเสริมให้ตำรวจทำผิด จะต้องให้เคสนี้เป็นอุทาหรณ์ และต้องดำเนินการให้ถึงที่สุด ซึ่งตนยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือนายปาโมกข์เพื่อให้ได้รับความเป็นธรรม "พี่ต้องแจ้งความ ต้องยอมเสียสละเพื่อคนอื่น พี่อย่าเห็นแก่ตัว เพราะพี่คงไม่ใช่รายสุดท้าย พี่ต้องยอมเสียสละเพื่อให้ประเทศนี้ดีขึ้น" ทนายรณณรงค์กล่าวเพิ่มเติมว่า นายปาโมกข์สามารถฟ้องเอาผิดตำรวจได้ ควรใช้สิทธิทางกฎหมายดำเนินคดี อย่างไรก็ตาม นายปาโมกข์และภรรยากล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า หลังจากนี้จะเดินทางไปลงบันทึกประจำวันที่สน.ท่องหล่อ และยืนยันว่าไม่เคยเป็นปฏิปักษ์กับตำรวจมาก่อนหน้านี้แต่อย่างใด

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวที่ได้รับความสนใจ