วัดไม่ใช่เซฟโซนต้องเวิร์คฟอร์มโฮม วลีเด็ดก่อนถูกจับสึก

27 ก.พ. 67

วัดไม่ใช่เซฟโซนต้องเวิร์คฟอร์มโฮม วลีเด็ดก่อนถูกจับสึก พระไร้สังกัดบิณฑบาตในโรงพยาบาลนครปฐม ไม่เข้าวัดนาน 2 ปี

 

 

วันที่ 27 ก.พ.67 พระครูสังฆรักษ์พงษ์ดนัย พระวินยาธิการวัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม ได้รับแจ้งจากประชาชนว่ามีพระภิกษุต้องสงสัยว่าไม่ใช่พระแท้ ได้มาบิณฑบาตและเรี่ยไรเงิน อยู่ภายในโรงพยาบาลนครปฐม ซึ่งมีพฤติกรรมยืนอยู่ตามอาคารต่างๆ ซึ่งไม่ใช่เป็นสถานที่สำหรับเดินบิณฑบาต จึงได้เข้าตรวจสอบหลังจากได้มีญาติโยมควบคุมตัวเอาไว้ เพื่อรอให้การตรวจสอบ

เมื่อไปถึงพบพระภิกษุ อายุ ประมาณ 50 ปี อยู่ภายในโรงพยาบาลนครปฐม จึงได้นิมนต์มาตรวจสอบเอกสารหลักฐานที่วัดไผ่ล้อม โดยพบว่าไม่มีสูจิบัตรประจำตัวพระภิกษุสงฆ์ แต่พบเอกสารในการบวชที่วัดแห่งหนึ่ง ในจังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมบัตรประชาชน ชื่อนายสำรวย (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 50 ปี ชาวอำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ตรวจสอบกับเจ้าอาวาสที่ต้นสังกัด ทราบว่าพระรูปดังกล่าวไม่ได้อยู่ที่วัดแล้ว และไม่สามารถติดต่อได้ จึงขอให้พระวินยาธิการช่วยดำเนินการจับสึก ตามหลักการปกครองของคณะสงฆ์ด้วย

จากนั้นได้นำตัว นายสำรวย ไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจภูธรเมืองนครปฐม

นายสำรวย บอกว่าตนเองได้บวชมาประมาณ 2 ปีที่จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งก่อนหน้าก็ได้ทำหน้าที่ดูแลบิดามารดา ที่บ้านพักในอำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม โดยยึดอาชีพขายหมูปิ้งที่บ้าน แต่เมื่อเกิดวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ไม่สามารถขายของได้ และยังมาเจอช่วงวิกฤตที่เนื้อหมูมีราคาแพง จึงต้องหยุดทำการขาย จากนั้นได้ไปสมัครเป็นยาม แต่ก็ทำงานได้ไม่นานก็ถูกให้ออกจากงาน จึงได้ตัดสินใจไปบวชหมู่ ที่จังหวัดสุพรรณบุรี แต่พบว่าพระที่บวชด้วยชอบรังแกตนเองจึงไม่อยากอยู่วัด และได้กลับมาบ้านพักเพื่อมาดูแลบิดา จากนั้นได้ไปปริวาสตามที่ต่างๆ โดยได้เดินบิณฑบาตรอบองค์พระปฐมเจดีย์ แต่ก็ถูกพระเจ้าถิ่นไล่ไม่ให้ไปบิณฑบาตบริเวณดังกล่าว จึงได้ตัดสินใจมาเดินบิณฑบาตและรับบริจาคเงินภายในโรงพยาบาลนครปฐม โดยรายใดถวายเงิน 100 บาท ก็จะมอบแหวนเงินหัวเพชร (ของปลอม) ให้เป็นที่ระลึก

"อาตมายอมลาสิขาแต่โดยดีเพราะรู้ว่าผิด โดยได้เคยติดตามข่าวว่าหลวงพี่น้ำฝนวัดไผ่ล้อมได้จับพระปลอม ซึ่งก็รู้อยู่ว่าตนเองทำผิดและคิดว่าสักวันจะต้องโดนจับ แต่ไม่คิดว่าจะรวดเร็วแบบนี้ ซึ่งก็ได้วัดดวงออกมาบิณฑบาตบ่อยครั้ง โดยการออกจากบ้านพักที่อำเภอกำแพงแสน และมาบิณฑบาตที่โรงพยาบาลนครปฐม และจากนี้ยังไม่รู้จะกลับมาบวชหรือไม่ เนื่องจากต้องไปหางานทำดูก่อน แต่ที่ตนเองอยากจะบอกไว้ คือวัดไม่ใช่เซฟโซนของอาตมา เพราะมีแต่พระที่ชอบรังแก ตบหัวบ้าง ด่าทอบ้าง จึงได้กลับมาอยู่บ้านอาศัยบ้านเป็นที่พัก จากนี้ขอคิดอีกครั้งว่าจะกลับมาบวชหรือไ ม่แต่วันนี้มันจบแล้วก็ต้องยอมสึกตามที่คณะสงฆ์ว่ามา"

หลังจากได้ทำการลาสิขา เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรเมืองนครปฐมได้นำตัวนายสำรวย ที่เปลี่ยนชุดจากจีวรพระ เป็นชุดสีขาวกลับไปส่งยังสถานีขนส่ง เพื่อนั่งรถกลับบ้านที่อำเภอกำแพงแสน พร้อมให้ค่ารถกลับติดตัวไปอีก 200 บาท โดยขอสัญญาว่าจะไม่ให้กลับมาปฏิบัติตนเช่นนี้อีก ไม่เช่นนั้นจะมีการดำเนินคดีในข้อหาแต่งกายเลียนแบบพระต่อไป.

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส