ยิ่งกว่าละคร ฝากเลี้ยงลูก 6 ปี แม่นมไม่ยอมมคืนลูกให้

2 ก.พ. 67

คุณแม่ร้องเพจเป็นหนึ่ง นำลูกไปฝากเลี้ยงไว้กับมูลนิธิแห่งหนึ่ง ที่มีพี่เลี้ยงรับเลี้ยงลูก ในลักษณะของ "แม่นม" สุดท้ายเลี้ยงไป 6 ปี ไม่ยอมคืนลูกให้ แถมไถเงินเป็นประจำ

ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร อยากให้อ่านให้จบ แม่ร้อง "เป็นหนึ่ง" ฝากลูกไว้กับพี่เลี้ยงแต่ถึงเวลาเอาลูกคืนพี่เลี้ยงกลับไม่อยากคืนให้ ในตอนแรกเราก็สงสัยว่าเค้ากังวลเรื่องอะไร ในเมื่อสิทธิ์เด็ดขาดนั้นอยู่ที่แม่แท้ๆ แต่เมื่อสอบถามเรื่องราวเพิ่มเติมกลับดราม่า..

เรื่องราวทั้งหมดเราขออนุญาติทางคุณแม่น้องก่อนนำมาเล่าแล้วนะคะ

"สวัสดีค่ะเพจเป็นหนึ่ง หนูมีเรื่องจะปรึกษาค่ะ หนูฝากลูกไว้กับพี่เลี้ยง แต่พี่เลี้ยงไม่ให้ลูกหนูคืนค่ะ ประเด็นเรื่องมันมีอยู่ว่า

ตั้งแต่ในตอนที่หนูยังเด็ก หนูถูกรับเป็นลูกบุญธรรมในตระกูลที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง ก่อนหน้านี้หนูทำงานอยู่ที่ธนาคารแห่งหนึ่งค่ะ แต่ก็ต้องลาออกเพราะแฟนคนแรกบังคับให้ออก (แฟนคนแรกคบมา 15 ปี)

ตลอดเวลาที่คบกันกับแฟนคนแรก หนูถูกเขา หลอก-โกหก มาตลอด ตัวเขามีนิสัยติดพนันบอล เป็นหนี้หนูก็ต้องแบกรับไปจ่ายไปเคลียร์ให้ไม่รู้จบ มีหนัก ๆ เลยก็ถูกเจ้าหนี้บอลตามมาทวงที่ร้านขายของ ทำลายข้าวของร้านจนพังหมดเลยค่ะ มันทำให้หนูรู้สึกอายจนไม่กล้าจะขายของต่อเลย เท่านั้นไม่พอ ยังมีนิสัยที่ชอบโกหก โกหกได้ทุกอย่างทั้งเรื่องเล็ก ๆ น้อยน้อยไปจนถึงเรื่องผู้หญิง ชีวิตหนูช่วงนั้นต้องสูญเสียทรัพย์สินในชีวิตไปมากมายกับผู้ชายคนเดียว จนหนูส่งให้เขาเรียนจนจบปริญญา ท้ายที่สุดก็ไปกันไม่รอดค่ะ เพราะคำว่าไม่รู้จักพอของคน

หลังจากนั้นมันทำให้หนูฝังใจมาตลอดว่าชีวิตนี้ไม่ขอเจอผู้ชายแบบนี้อีกแล้ว

หลังจากนั้นหนูก็ไม่มีแฟนมาเกือบ 4 ปีเลยค่ะ จนหนูได้เจอกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นพ่อของลูกหนูในปัจจุบัน เราทั้งคู่คบกันมาได้สักระยะหนึ่ง ตัวเค้าก็บอกเราว่าเค้าอยากมีลูก เพราะตัวเค้าก็อายุมากแล้ว และตัวหนูเองก็อายุใกล้จะ 30 แล้วด้วย

เราเช็คประวัติเค้าทุกอย่างว่ามีลูกมีเมียอยู่แล้วไหม มีหนี้สินภาระอะไรที่เราจะต้องตามชดใช้ให้เหมือนแฟนคนก่อนหรือเปล่า สำหรับเราคู่รักคู่หนึ่งที่ตัดสินใจจะมีลูกด้วยกันนั้น เราเชื่อว่าต้องมีความมั่นคงพอสมควร เพื่อเด็กที่จะเกิดมาในอนาคตจะได้ไม่ต้องแบกรับปัญหาของพ่อแม่

หนูไม่ขอให้เขาจัดงานแต่ง ไม่เรียกร้องสินสอดใด ๆ ทั้งสิ้นกับทางฝ่ายชาย เราทั้งคู่แค่ต้องการสร้างครอบครัวและให้ลูกได้เติบโตมาอย่างดีที่สุด หลังจากนั้นเราทั้งคู่ได้มีลูกคนแรกด้วยกัน

ในช่วงเวลา 2 ปีที่เลี้ยงลูกคนแรก หนูหวงลูกมากเพราะลูกคนแรกเรากินนมแม่ตั้งแต่ยังเล็กจนเกือบ 3 ขวบ ต้องยอมรับว่าหนูกับแฟนเพิ่งจะเคยเลี้ยงลูก อาจจะมีขาดตกบกพร่องจนทำให้ทะเลาะกันบ้าง ตามประสาคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

4 ปี ต่อมาเรามีลูกด้วยกันอีก 1 คน ในตอนนั้นพูดตรง ๆ ว่าลูกคนนี้หนูไม่ได้บอกที่บ้านเรา (บ้านที่รับเลี้ยงเราเป็นลูกบุญธรรม) เพราะกลัวเค้าจะไม่โอเค

ลูกคนแรกของเรามีแม่บุญธรรมของเราช่วยเลี้ยง แต่ในตอนที่มีลูกคนที่สอง แม่บุญธรรมก็เริ่มอายุมากขึ้น ทางครอบครัวบุญธรรมก็ค่อนข้างเป็นตระกูลใหญ่ เป็นที่นับหน้าถือตา ทางหนูและแฟนไม่ได้มีการจัดพิธีตามขนบ หนูกลัวว่าเค้าจะไม่โอเค เลยไม่ได้บอกเรื่องลูกคนที่สองให้เค้าได้รู้

หลังจากที่เราคลอดลูกคนที่ 2 เราตัดสินใจที่จะพาลูกคนเล็กไปฝากเลี้ยงไว้กับมูลนิธิแห่งหนึ่งที่มีพี่เลี้ยงรับเลี้ยงลูก ในลักษณะของ "แม่นม" ที่เราตัดสินใจแบบนี้เพราะเราไม่อยากทะเลาะกับสามีเรื่องการแบ่งเวลามาเลี้ยงดู เพราะทางสามีเองก็ต้องลาออกจากงานเพื่อมาเลี้ยงดูพ่อที่แก่ชรา

หลังจากที่เราเอาลูกคนเล็กมาฝากเลี้ยงที่มูลนิธิ เรามาเยี่ยมลูกเดือนละ 1 ครั้ง มูลนิธิดังกล่าวนี้มีกฏว่า "ห้ามแม่นม และแม่แท้ ๆ มาเจอกัน" ในตอนที่ฝากเลี้ยงลูกอยู่ เพราะอาจจะทำให้เกิดปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ตามมา

เราฝากเลี้ยงลูกที่มูลนิธิดังกล่าวได้ 1 ปี พอเข้าปีที่ 2 "แม่นม" ได้สืบเจอและรู้ว่าเราเป็นแม่ของเด็ก ทางแม่นมก็พยายามติดต่อหาเราโดยตรง โดยที่ทางมูลนิธิไม่ได้ทราบในเรื่องนี้ เราคุยกับแม่นมกันแบบส่วนตัวเพื่ออัพเดตชีวิตประจำวันของลูกเรา เพราะรักและคิดถึงลูกมาก

ที่ผ่านมา การที่เราได้เจอลูกแค่เดือนละ 1 ครั้งมันทำให้เราคิดถึงลูกมาก ทุกครั้งที่เราเข้าไปเยี่ยมลูก เราจะซื้อของใช้ นม แพมเพิส เสื้อผ้า บริจาคให้มูลนิธิด้วย

แต่เมื่อแม่นมเห็นเราทำแบบนั้น เค้าก็พยายามติดต่อหาเราเพื่อยืมเงิน มีการนัดหมายเรานอกสถานที่ พูดหว่านล้อมให้เราซื้อ แพมเพิส นม ให้ลูกและอื่น ๆ อีก เหมือนเป็นการที่เราต้องจ่ายเงินเพิ่้มเป็นสองทาง ทั้งที่บริจาคให้มูลนิธิ และที่พี่เลี้ยงเรียกกับเรานอกรอบด้วย เป็นเวลากว่า 4 ปีเกือบ 5 ปีที่เราฝากเลี้ยงลูกกับทางมูลนิธิดังกล่าว ที่เราให้ปัจจัยต่าง ๆ นอกรอบกับแม่นม โดยที่มูลนิธิไม่ทราบเรื่อง เพราะเรามองว่าที่เค้าเลี้ยงอยู่ก็คือลูกเรา

ถึงเวลาที่เราจะเอาลูกของเราออกจากมูลนิธิ ทางแม่นมก็ติดต่อมาหาเราส่วนตัว ขอเอาลูกเรากลับไปเลี้ยงต่อ ให้เหตุผลว่าเค้าเลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก เค้ารักและผูกพันกับลูกเรา เราเองก็ยังไม่สบายใจที่จะพาลูกกลับไปบ้านเพราะกลัวว่าแม่บุญธรรมจะไม่สบายใจ ปัจจัยต่าง ๆ ในตอนนั้นมันบีบให้เราตัดสินใจฝากน้องไว้กับแม่นม โดยเราตั้งใจจะฝากไว้แค่ 3 เดือนค่ะ แต่พลาดตรงที่เราไม่ได้ทำสัญญาใด ๆ ทั้งสิ้นที่จะยกลูกให้พี่เลี้ยง โดยลูกหนูอาศัยอยู่กับแม่นมมา 2 ปีแล้วค่ะตั้งแต่ออกจากการดูแลภายใต้มูลนิธิดังกล่าว

พอครบกำหนดที่เราจะไปพาลูกกลับเขาก็ยื้อไว้ตลอด เราให้เหตุผลว่าเราจะพาน้องไปเข้าโรงเรียนเพื่อเรียนหนังสือแล้ว จนตอนนี้ลูกหนูอายุ 6 ขวบแล้ว เค้ายังไม่คืนลูกให้หนูเลยค่ะ หนูพยายามติดต่อไปหาเค้าตลอด สืบหาว่าลูกหนูเรียนอยู่ที่ไหน แต่ทางแม่นมไม่บอกอะไรหนูเลย

แม่นมบอกว่าตอนแรกลูกหนูเรียนเอกชน จะขอเรียกเงินค่าเทอมจากหนู พอหนูขอใบเสร็จก็ไม่มีหลักฐานให้ เวลาลูกหนูไม่สบายก็จะเอาเงิน ก่อนหน้านี้หนูก็เคยโอนให้ แต่ไม่เคยเห็นหลักฐานใบเสร็จทางโรงพยาบาลหรือคลินิคเลยว่าลูกหนูป่วยจริง รูปถ่ายลูกหนูก็ไม่เคยให้หนูเห็น หนูแค่ต้องการลูกกลับมาเลี้ยงเองแต่ทางแม่นมบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้ลูกหนูคืนสักที

จนหนูสืบไปเจอโรงเรียนที่ลูกหนูเรียนอยู่ และไปดักเจอลูกเพื่อรับตัวลูกกลับไปอยู่ในการดูแลของหนูเอง แต่พอไปถึงโรงเรียนครูกลับไม่ให้หนูเอาลูกกลับ เพราะคุณครูไม่ไว้ใจ สุดท้ายหนูก็ต้องเป็นฝ่ายถอยกลับมา

ในตอนนี้หนูเริ่มเข้าใจแล้วว่าที่ทางมูลนิธิมีกฏที่ห้ามแม่นมและแม่แท้ๆมาเจอกันเพราะอะไร เพราะตอนที่ลูกหนูอยู่ในการดูแลของมูลนิธิมันไม่ควรจะมีค่าใช้จ่ายใดๆเพิ่มเติม

พฤติกรรมของพี่เลี้ยงตลอดระยะเวลาที่เลี้ยงลูกหนู มักจะมีเรื่องเงิน มาเกี่ยวข้องในบทสนทนาเสมอ เช่น

1.พี่เลี้ยงคอยมาขอเงินขอของใช้สิ่งต่างๆ จากหนู

2.ทางพี่เลี้ยงคอยมากู้และยืมเงินหนู ทำให้หนูเริ่มมองถึงศักยภาพที่จะเลี้ยงลูกหนูไม่ไหว ถ้าไม่ไหวแล้วทำไมไม่คืนลูกให้หนู ?

3. มีเรื่องเงินมาเรื่อยๆ อ้างว่าลูกเราป่วยขอเงินในการรักษาแต่ไม่เคยมีใบเสร็จให้ไม่เคยมีหลักฐานมายันว่าลูกเราป่วยจริงพอมองกลับไปการที่เขาอ้างว่าพาลูกเราไปหาหมอตลอด แต่ทำไมสุขภาพฟันของลูกเราแย่ทั้งปากมีฟันผุหมดปากแปลว่าที่ผ่านมาลูกเราอาจจะไม่เคยเข้ารับการดูแลจริง ๆ เลยซักครั้ง

ในการมาร้องเพจเป็นหนึ่งครั้งนี้ หนูแค่อยากได้ลูกคืนจริงๆ ในส่วนของเงินที่เสียไปแล้วให้มันเสียไปหนูไม่ซีเรียส แต่ลูกหนูต้องถูกเลี้ยงดูให้เติบโตมาอย่างมีประสิทธิภาพ"

การกระทำของพี่เลี้ยงที่พยายามกั๊กลูกของคนอื่นไว้ ถือเป็นเรื่องผิดกฏหมายกรณีพรากเด็กจากผู้ปกครองที่เป็นพ่อและแม่นะคะ

ทางเป็นหนึ่งได้ติดต่อไปทางมูลนิธิดังกล่าวเพื่อสอบถามข้อเท็จจริง ทางเจ้าหน้าที่มูลนิธิก็แจ้งว่าเป็นเรื่องตริง

พรุ่งนี้เป็นหนึ่งพร้อมเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็ก จ.อยุธยา จะเดินทางไปที่ จ.อยุธยา เพื่อพาแม่ของน้องไปรับตัวน้องออกมาจากบ้านของพี่เลี้ยง โปรดติดตาม

#เป็นหนึ่ง #beONE #พี่เลี้ยง #แม่พลัดพรากจากลูก #แม่นม #พี่เลี้ยงไม่ให้ลูกคืน

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส