หนุ่มอินฟลูเอนเซอร์ร้องสายไหมต้องรอดถูก 2 วัยรุ่นรุมทำร้าย คว้าขวดปากฉลามฟันหน้าเย็บ 20 เข็ม ต้องย้ายหนีกลัวตามมาทำร้ายอีก
ผู้เสียหายนำภาพจากกล้องวงจรปิดร้องเรียนเพจสายไหมต้องรอด โดยในภาพชายเสื้อสีเขียวผู้บาดเจ็บถูกชายเสื้อดำ และเสื้อลายรุมทำร้าย ก่อนจะมีเสียงชาวบ้านบอกให้พอ แต่ชายเสื้อดำกลับเข้ามาทำร้ายอีกครั้ง
ส่วนอีกคลิปจะได้ยินเสียงขวดกลิ้งที่พื้น ซึ่งชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ได้เดินเข้าไปห้ามปราม ก่อนเหตุการณ์จะสงบลง ซึ่งจะเห็นชายเสื้อกล้ามสีขาวเดินมาต่อว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุ ซึ่งตั้งวงเหล้าอยู่ จากนั้นเหตุการณ์ก็กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง หลังจากที่ชายเสื้อกล้ามได้วิ่งถือมีดออกมาไล่กลุ่มผู้ก่อเหตุ ซึ่งกลุ่มผู้ก่อเหตุได้วิ่งหนีไป โดยไม่ได้เอารถจักรยานยนต์ไปด้วย โดยเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในซอยช่างอากาศอุทิศ 6 แขวงและเขตดอนเมือง กทม.ช่วง 3 ทุ่ม ของวันที่ 7 ธันวาคม ที่ผ่านมา
ล่าสุดนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ได้ลงพื้นที่มาดูจุดเกิดเหตุ และเข้าดูอาการผู้เสียหาย พร้อมระบุว่า ที่ต้องลงมาพื้นที่วันนี้ได้รับการประสานงานจาก น้องไมค์ ทีมงานเพจคนรักดอนเมือง ว่ามีลูกบ้านในดอนเมืองถูกรุมทำร้าย เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ซึ่งคนที่ทำร้ายไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย
ซึ่งจากข้อมูลทราบว่าเป็นคนขี่วินอยู่ในพื้นที่ มานั่งดื่มเหล้าจนเมาแล้วได้เรียกผู้เสียหาย ซึ่งตอนนั้นผู้เสียหายได้จอดรถ ผู้ก่อเหตุจึงเดินเข้าไปพูดคุยแล้วใช้ขวดตีหัว พอขวดแตกก็หยิบขวดปากฉลามฟันที่หน้าผู้เสียหายจนเลือดอาบ เย็บ 20 เข็ม และหลังจากนี้จะมีการประสานไปยัง สน. ดอนเมือง เพื่อสอบถามความคืบหน้า รวมถึงจะพาผู้เสียหายไปยื่นขอรับเงินเยียวยา และขอคุ้มครองพยานที่กระทรวงยุติธรรม เนื่องจากผู้ก่อเหตุมีพฤติการข่มขู่จนผู้เสียหายต้องย้ายที่อยู่
ที่สำคัญตัวผู้เสียหายเองเป็นอินฟลูเอนเซอร์ทำ Tiktok รีวิวขายสินค้า ส่วนนี้ทำให้การประกอบอาชีพก็ไม่สะดวกเพราะต้องใช้หน้าตา ก็ต้องมาดูว่าใครพอจะช่วยดูในเรื่องของการทำศัลยกรรม หรือทำให้บาดแผลหายได้เร็วขึ้น รวมถึงฝากเจ้าหน้าที่ตำรวจในเรื่องคดีอาจจะเข้าข่ายพยายามฆ่าหรือไม่ เพราะพฤติการณ์เอาขวดตียังไม่พอ พอขวดแตกก็ยังหยิบมาฟันหน้าอีก
ผู้บาดเจ็บ เล่าว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นประมาณสามทุ่มครึ่งของวันที่เจ็ดธันวาที่ผ่านมา ตัวเองกำลังจะไปซื้อของกับแฟน ซึ่งหอพักอยู่ตรงกับจุดที่ผู้ก่อเหตุนั่งดื่มเหล้าอยู่พอดี ทำให้เวลาเราออกมาจากหอพักก็จะจะเห็น พอออกมาได้ยินเสียง “เฮ้ย” ตอนนั้นคิดว่าเป็นรุ่นพี่ที่อยู่ในละแวกนั้นเรียกเลยจอดรถ จังหวะเดียวกัน ผู้ก่อเหตุที่รูปร่างใหญ่ได้เดินเข้ามาหาแล้วมาถามว่าจอดรถทำไม ตอนนั้นตนเองบอกว่าเปล่า ผมไม่ได้มีอะไร ผมคิดว่าเป็นรุ่นพี่เรียก ตอนนั้น ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่เขาก็มองหน้ารวมถึงทำท่าทางจะทำร้ายแฟนที่นั่งซ้อนท้ายอยู่
ตอนนั้นผู้ก่อเหตุอยู่ในสภาพเมาสุรา แล้วต่อยมา 1 ครั้ง ตนยังบอกว่าผมไม่ได้ทำอะไรพี่แล้วมาทำผมทำไมจั งหวะนั้นผู้ก่อเหตุอีกคนเดินเข้ามาเหมือนจะมาขอโทษ แต่กลับควักขวดปามา แต่ไม่โดน ขวดตกแตก แล้วยังใช้ขวดตีที่หัว 3 ครั้ง จากนั้นหยิบขวดที่แตกมาฟันหน้า ตอนนั้นตนเองพยายามเรียกพี่ที่อาศัยอยู่หอพักเดียวกัน แต่เขาก็ไม่ได้ยิน จนมีชาวบ้านละแวกนี้ได้ยินเสียงออกมาช่วย
หลังเกิดเหตุได้เดินทางเข้าแจ้งความที่ สน. ดอนเมือง แล้ว ก็ยังมีไม่ใครเข้ามาพูดคุยหรือเจรจาแต่อย่างใด รวมถึงตอนนี้ตนเองต้องย้ายออกจากหอ เนื่องจากทางญาติมองว่าถ้าหากอยู่ตรงนี้อาจจะไม่ได้รับความปลอดภัย ประกอบกับไม่รู้ว่าจะเจอเขาอีกเมื่อไหร่เนื่องจากหอกับจุดเกิดเหตุมันเป็นจุดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมอง ตอนนี้อยากให้เอาโต๊ะที่อยู่ตรงนี้ออกไป เพื่อไม่ให้มีใครมานั่งกินเหล้า และเพื่อความปลอดภัยของชาวบ้านแถวนี้ และยืนยันว่าจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่ต้องเอากระเช้ามาให้ เนื่องจากตนเองไม่ชอบรับกระเช้า
ด้านผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุ ตนเองกลับมาจากที่ทำงาน เห็นผู้ก่อเหตุมานั่งกินเบียร์อยู่ที่โต๊ะหิน ซึ่งก็ไม่ได้เห็นมาบ่อย ส่วนตัวไม่ได้รู้จักเพราะไม่ใช่คนแถวนี้ แต่เขาก็เคยมายกมือไหว้ เวลาเราวประมาณสองทุ่มกำลังจะนอนได้ยินเสียงผู้ก่อเหตุแซวรถที่ขับผ่านไปมา ทีแรกกะจะออกไปว่า แต่แฟนห้ามไม่ให้ออกไป จากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงแซวอีก ซึ่งมารู้ทีหลังว่าเป็นน้องผู้บาดเจ็บ แต่เสียงมันดังผิดปกติ ตนเองเลยเปิดประตูออกมาดู ก็เห็นเหตุการทั้งหมด
ที่ผ่านมาเห็นผู้บาดเจ็บขี่ออกไปไหนมาไหนตามปกติ ก็ไม่เคยมีเรื่องกับใคร ส่วนผู้ก่อเหตุส่วนตัวไม่รู้จัก ไม่เคยคุยด้วย รู้แต่ว่าน่าจะมาหาใครที่พักแถวนี้ก็เท่านั้น
อย่างไรก็ตามมีรายงานข่าวระบุว่า ผู้ก่อเหตุทั้ง 2 คน คือ นายนิรันดร์ และนายวันเฉลิม ได้เดินทางเข้ามอบตัวกับฝ่ายปราบปรามสน.ดอนเมืองแล้ว ซึ่งเบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหา ร่วมกันทำร้ายผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ และอยู่ระหว่างรอใบรับรองแพทย์ หากพบว่าต้องรักษาตัวเกิน 20 วัน ก็จะเข้าข่ายความผิดร่วมกันทำร้ายผู้อื่นให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส รวมถึงอยู่ระหว่างรวมรวมพยานหลักฐานว่าจะเข้าข่ายพยายามฆ่าด้วยหรือไม่.