บุกค้นสถานพยาบาลกลางกรุงฯรับจ้างส่งไทยอุ้มบุญเอาเด็กขายต่างประเทศ

1 ก.ย. 66

ดีเอสไอบุกค้น 3 สถานพยาบาลกลางกรุงฯรับจ้างส่งไทยอุ้มบุญเอาเด็กขายต่างประเทศ หนึ่งในผู้ต้องหาเป็นนายหน้าจัดหาหญิงชาวไทยจนมีที่ดินกว่า 100 ไร่ 

 

วันนี้ (1 ก.ย.) เวลา 11.00 น.นายอัษฎาวุธ ศรีปิตา ผู้ช่วยโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และ ร.ต.อ.ทินวุฒิ สีละพัฒน์ ผู้อำนวยการกองกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ แถลงความคืบหน้าในการดำเนินคดีกรณี ขบวนการลักลอบจัดหาหญิงไทยเพื่อรับจ้างตั้งครรภ์แทน (อุ้มบุญ) ให้กับผู้ว่าจ้างชาวต่างประเทศที่มีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติในจังหวัดหนองคาย กรณี เด็กชายแทนไท (นามสมมุติ)

 

ร.ต.อ.ทินวุฒิ กล่าวว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้รับแจ้วเบาะแสจาก กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ว่ามีขบวนการรับจ้างแม่อุ้มบุญผิดกฎหมายที่ จ.หนองคาย จึงประสานตำรวจท้องที่เข้าช่วยเหลือทารก 9 เดือน จำนวน 2 ราย พร้อมรวบรวมพยานหลักฐานอนุมัติเป็นคดีพิเศษ ต่อมาได้เข้าตรวจค้นสถานพยาบาล 3 แห่ง ในพื้นที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้แก่ 1.สถานพยาบาลย่านถนนงามวงศ์วาน เขตจตุจักร ซึ่งพบว่ามีนายแพทย์ผู้ให้บริการเทคโนโลยีการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์มีส่วนเกี่ยวข้อง และเป็นแพทย์ประจำศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากในสถานพยาบาลดังกล่าว โดยได้ทำการตรวจร่างกายก่อนตั้งครรภ์และรับฝากครรภ์และเป็นสถานที่คลอดบุตรแก่หญิงอุ้มบุญผิดกฎหมาย ในช่วงระหว่างปี 2561 - 2563 ผลการตรวจค้นพบประวัติ หญิงอุ้มบุญผิดกฎหมายจำนวนหลายราย

 

ร.ต.อ.ทินวุฒิ กล่าวอีกว่า 2.สถานพยาบาลย่านถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ พบมีแพทย์ผู้ให้บริการเทคโนโลยีการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องในคดีนี้เข้าไปทำงานพาร์ทไทม์ (Part time) ในสถานพยาบาลดังกล่าว ผลการตรวจค้นพบเอกสารข้อมูลไข่และตัวอ่อนในการดูแลของแพทย์ผู้ให้บริการในคดี และ 3.สถานพยาบาลย่านถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินพบความเชื่อมโยงกับนายแพทย์ที่เกี่ยวข้องในคดี และมีหญิงอุ้มบุญมาตรวจร่างกายก่อนมีการไปฉีดตัวอ่อนที่ประเทศกัมพูชา ผลการตรวจค้นพบหนังสือเดินทางของหญิงอุ้มบุญและเด็กที่ถูกอุ้มบุญ และสถานบริการแห่งนี้ยังไม่ได้รับอนุญาตรับรองมาตรฐานให้บริการด้านเทคโนโลยีการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ทั้งนี้ แพทย์ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าวอยู่ระหว่างสืบสวนสอบสวนว่าจะมีส่วนรู้เห็นด้วยไม่

 

ร.ต.อ.ทินวุฒิ เผยอีกว่า ต่อมา ในวันที่ 28 ส.ค.66 มีการขยายผลจับกุม นายสุเนตร อายุ 60 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาที่ 2643/2566 ในข้อหา “มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและร่วมกันดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า” และได้ทำการตรวจค้นบ้านพักของผู้ต้องหา ในพื้นที่ จ.หนองคาย พบบัญชีรายชื่อหญิงที่รับจ้างอุ้มบุญผิดกฎหมายและบัญชีรายได้จากการเป็นนายหน้าจัดหาหญิงมาทำหน้าที่อุ้มบุญ ซึ่งนายสุเนตร เป็นหนึ่งในขบวนการจ้างอุ้มบุญข้ามชาติที่มีหน้าที่จัดหาหญิงชาวไทยมารับจ้างอุ้มบุญให้ชาวต่างชาติ จนมีทรัพย์สินเป็นที่ดินกว่า 100 ไร่ 

 

“สำหรับขั้นตอนการว่าจ้างอุ้มบุญ จุดเริ่มต้นจากผู้ว่าจ้างเป็นชาวต่างชาติ ประสบภาวะมีบุตรยาก จึงติดต่อนายหน้าทั้งประเทศต้นทางและประเทศไทย จัดหาหญิงสาวที่มีสุขภาพแข็งแรงในวัยเจริญพันธุ์ พร้อมประสานบุคลากรทางการแพทย์ สถานพยาบาล จากนั้น จะพาหญิงสาวอุ้มบุญบินไปประเทศกัมพูชาเพื่อฉีดตัวอ่อนอสุจิเข้าผนังมดลูก ดูอาการประมาณ 7 วัน ถ้าไม่มีปัญหาจะบินกลับไทย ฝากครรภ์กลับสถานพยาบาลและมีแพทย์คอยดูแลตามขั้นตอน เมื่อกำหนดคลอดให้เด็กอยู่ไทยจนแข็งแรง และจะพาเด็กออกไปประเทศปลายทางของผู้ว่าจ้าง ซึ่งเด็กส่วนใหญ่จะพบอยู่ภาคอีสานและกรุงเทพฯ โดยช่วงสถานการณ์โควิดระบาด ทำให้เด็กอุ้มบุญไม่สามารถเดินทางได้ จึงมีการจับกุมเกิดขึ้น ปัจจุบันพบว่า มีผู้ว่าจ้างอุ้มบุญ กว่า 10 ประเทศ นอกเหนือจากประเทศจีน”

 

ส่วนค่าจ้างเฉพาะแม่อุ้มบุญ ประมาณ 5 แสนบาทต่อเด็กหนึ่งคน แต่ถ้ารวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด ตั้งแต่บุคลากรทางการแพทย์ นายหน้า และอื่นๆ คาดว่าไม่ต่ำกว่า 3 ล้านบาท ต่อเด็กหนึ่งคน ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ว่าจ้าง อย่างไรก็ตาม เบื้องต้น ได้ออกหมายจับผู้ต้องหา 10 ราย แบ่งเป็น นายหน้า 3 ราย จับกุมได้แล้ว 1 ราย คือ นายสุเนตร ส่วน 2 รายหลบหนีอยู่ประเทศเพื่อนบ้าน นางนริศรา กับ นายพิเชษฐ์ และเป็นหญิงแม่อุ้มบุญ อีก 7 ราย ขณะนี้ทยอยเรียกมาแจ้งข้อกล่าวหา นอกจากนี้ กำลังขยายผลสืบสวนสอบสวนเกี่ยวกับขบวนการทำพาสปอร์ตผิดกฎหมายเพราะเกี่ยวข้องกับสูติบัตรและทะเบียนราษฎร์

 

ทั้งนี้ การอุ้มบุญสามารถทำได้หากได้รับการอนุญาตตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งมีเงื่อนไขเพื่อคนที่มีบุตรยากตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 แต่ห้ามไม่ให้ดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า หากฝ่าฝืน ทั้งตัวคนสั่งจ้าง นายหน้า นายแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ หญิงอุ้มบุญและผู้เกี่ยวข้องในขบวนการ ย่อมมีความผิดทางอาญาและต้องรับผิดตามกฎหมาย.

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส