ม้า อรนภา น้ำตาไหลไม่หยุด เผย 2 คนในวงการที่เคยค้างคาใจ ไม่คิดว่าจะได้กลับมาเจอกันในวันที่สูญเสีย คุณแม่ประมวล
เปิดใจที่แรก “ม้า อรนภา กฤษฎี” หลังสูญเสีย “คุณแม่ประมวล” วัย 98 ปีไปอย่างไม่มีวันกลับ ด้วยโรคมะเร็งปอด พร้อมรับมือการสูญเสียล่วงหน้าก่อน 1 วัน พร้อมคำพูดสุดท้ายที่คุณแม่พูดไว้ก่อนตาย อีกทั้งประเด็นสำคัญ บุคคลในวงการ 2 ราย ที่ทำให้ม้า อรนภา ซาบซึ้งใจจนน้ำตาแตกกลางงานศพ วันนี้เจ้าตัวพร้อมตอบทุกเรื่อง ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow
สูญเสียคุณแม่ ผ่านมาไม่กี่วันเอง?
ม้า : เพิ่งลอยอังคารไปเมื่อวานนี้ ก็สดๆ ร้อนๆ ค่ะ ถ้าถามความรู้สึกตอนนี้ รู้สึกสบายใจ เพราะทุกอย่างเสร็จสิ้นหมดแล้ว แต่ทางจิตใจ ดิฉันเตรียมใจมาตลอด ตั้งแต่คุณแม่อายุ 90 ก็เริ่มโอ้โห แม่อยู่นานจัง พออยู่ไปเรื่อยๆ เราก็เตรียมใจอยู่ตลอดเวลา แต่แม่ยังดูแข็งแรงเหลือเกิน สามารถเดินขึ้นบ้านสามชั้นเช้าเย็นได้ เป็นอย่างนี้ประจำทุกวัน ไม่ยอมย้ายมาอยู่ข้างล่าง เราก็โอเค ถ้าแม่ยังแข็งแรงก็เป็นบุญหัวเรา ที่ได้ดูแลไปได้เรื่อยๆ ถ้าจิตใจว่ายังไง มันก็เตรียมพร้อมมาตลอดเวลาอยู่แล้ว ทำใจได้มานานแล้ว
ไปลอยอังคารที่ไหน?
ม้า : ที่เดียวกับคุณตาคุณยาย ตรงเวิ้งคุ้มน้ำกว้างๆ ตรงปากเกร็ด ตอนนั้นเอากระดูกคุณตา คุณยาย คุณป้า พี่ของแม่ทั้งหลาย ออกมาจากวัดหลวงทั้งหมดเพื่อไปลอยที่นี่ แม่ก็ไปด้วย แม่บอกว่าถ้าถึงเวลาแม่เป็นอะไรไป ก็ให้เอามาลอยที่นี่ แม่ดิฉันปักหมุดทุกเรื่อง เตรียมพร้อมสุดๆ เลย ทุกเรื่องราว ทำทุกอย่างตามที่แกบอก
เช้ามาทุกอย่างไม่เหมือนเดิม มีแว๊บมั้ย?
ม้า : ถ้าถามวันนี้ ซึ่งเป็นวันแรกที่ได้ผ่านมา ก็รู้สึกเฉยๆ นิ่งๆ สบายๆ เพราะทุกอย่างที่ผ่านมาตั้งแต่ก่อน จนวันงาน เราดูแลทุกอย่างให้อย่างสมบูรณ์แบบทุกเรื่องราว ดูแลอย่างดี ทุกอย่างเรียบร้อย เพียงแต่รู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยมากเหมือนกัน เหนื่อยจนอยากพักเลย
วันที่จัดงานมีพิธี ณ ตอนนั้นคุณแม่อายุยืนที่สุดในกลุ่มเครือญาติ วันงานพี่ม้ารู้สึกว่าญาติเราคนน้อยเหมือนกัน เพราะไปกันหมดแล้ว?
ม้า : ใช่ จริงๆ มีเราสองคน มีน้องอีกหนึ่งคนซึ่งเป็นลูกสาวของป้า แล้วตัวน้องสาวเขาก็จะมีลูกสาว เป็นหลานของแม่ ก็ยังอยู่ มีแค่ 4 คนนั้น แล้วไม่มีใครเลย
เอาพลังใจมาจากไหน?
ม้า : ต้องให้กำลังใจตัวเองอย่างเดียว แต่จะว่าไปในชีวิตนี้เราก็มีกันแค่สองคนแม่ลูก เพราะคุณพ่อก็เสียมานาน ช่วงมีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้สนิทกับพ่อมาก อาทิตย์นึงเจอครั้งนึง แม่เป็นภรรยาน้อย เขาก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ ที่จะอยู่ดูแลพร้อมหน้าพร้อมตาครอบครัว แต่เขาก็ดูแลอยู่ แต่นานน้านจะเจอกัน เราก็อยู่กันสองคน ต่อสู้กันไป คิดกันไป ปลอบใจกันไป ก็อยู่แค่สองคนเท่านั้น ไม่มีใคร
แม่ไปสู่จักรวาลที่งดงามแล้ว ขาดคู่คิดมั้ย เพราะทั้งชีวิตมีแค่คุณแม่ที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวของจิตใจ?
ม้า : พอระยะหลังๆ คุณแม่อยู่มานาน ตั้งแต่ 80 ปลายๆ จน 90 หลังๆ แกก็ไม่ค่อยได้ให้ข้อคิดอะไรมาก ดิฉันเองต้องเป็นคนให้ข้อคิดกับแม่ว่า แม่ สบายๆ ปล่อยวางได้หมดทุกเรื่องแล้ว ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก แต่คนก็แก่ก็เหมือนเด็ก ก็จะจุ๊กจิ๊กเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก่อนหน้านั้นเราก็ช่วยกันคิดไปต่างๆ นานา แต่เขาเป็นคนไม่ค่อยพูด
ย้อนกลับไป ตอนทราบว่าคุณแม่เข้ารพ. พี่ม้าทราบจากคุณหมอ?
ม้า : จริงๆ เราไม่เคยคิดเลยว่าแม่จะต้องเข้ารพ. ตั้งแต่มีชีวิตอยู่มาด้วยกัน เห็นแม่ตอนเด็กๆ แม่เข้ารพ.คือผ่าตัดมดลูก ตอนนั้นแกมีเนื้องอกตรงมดลูก คุณแม่ก็เลยไม่สามารถมีลูกต่อไปได้ และเข้ารพ.อยู่สามวัน แกแข็งแรงมาก ครั้งนี้อยู่ๆ แกก็บ่นว่าเท้าบวมจังเลย เราบอกว่าไปหาหมอมั้ย แกบอกว่าไม่เอา จนวันรุ่งขึ้น น้องสาวที่เป็นหลานแก ต้องพาไปรพ. พอไปรพ.ปั๊บก็โทรมาบอกว่าแอดมิทเลย ต้องไปอยู่ซีซียู เพราะน้ำท่วมปอด ตอนนั้นรู้สึกนิ่งหมดทุกอย่าง เราก็อยู่กับปัจจุบัน ทำทุกอย่างให้เหตุการณ์ที่มีปัญหาก็ค่อยๆ แก้ไป เพราะปฎิบัติธรรมอยู่ ก็นำมาใช้กับชีวิตประจำวัน
มีความรู้สึกว่าครั้งนี้แม่หนักที่สุดมั้ย?
ม้า : ไม่ได้คิด แต่ก่อนหน้าเข้ารพ. แม่ก็ชอบพูด แม่เขาเริ่มบ่น เราไม่ค่อยเห็นแม่บ่นนะ เพราะแม่เป็นคนอึด อดทน แกบอกว่าแกเบื่อตัวเองจังเลย ทำอะไรก็ช้า แกเป็นคนทำงานตลอดเวลาในชีวิตตั้งแต่สาวยันแก่ ทำห่อหมกยันเฮือกสุดท้าย เป็นคนเจ็บออดๆ แอดๆ ก็จะไม่ค่อยบ่น จนระยะหลังๆ ทำอะไรก็เบื่อ หูก็ไม่ดี ฟังอะไรไม่ดี บอดี้มันเสื่อม แกก็บอกว่าถ้าฉันตายไปแล้วแกจะเสียใจมั้ย เราก็บอกว่าไม่เป็นไร สบายมากเลยแม่ ถึงวาระวันไหนก็ไปได้เลย เชิญเลยค่ะ ตอนที่ฟังจิตก็ไม่หล่น เพราะแม่อยู่มานานขนาด 98 ดิฉันเตรียมใจตลอดเวลา แม้กระทั่งชีวิตตัวเอง ดิฉันพูดกับหมอว่าตัวดิฉันเองก็เตรียมตัวตายทุกวันอยู่แล้ว เพราะจุดนี้เราเข้าใจทุกอย่าง
เห็นบอกว่าก่อนแม่จะไปหนึ่งวัน คุยกันเรื่องอะไร?
ม้า : วันนั้นแม่เขาอยากกินขนมผักกาด ก็ให้เพื่อนทำให้ วันนั้นเป็นวันที่เขาจะให้เยี่ยมซีซียูกลางวันรอบนึง เย็นรอบนึง ดิฉันก็เป็นแผนกรอบเย็น ก็เอาขนมผักกาดไป แกก็กินได้บ้าง ส่วนมากมีเสลดเยอะ แกก็พูดว่าจำรหัสตู้เซฟได้มั้ย ก็บอกว่าจำได้สิ จดไว้ เอาสมุดโน้ตมา ก็ถามเราว่าใครบอกแก (หัวเราะ) เราก็บอกว่าก็แม่บอกไง แม่ก็บอกว่าอย่าลืมนะกุญแจอยู่ตรงนี้ๆ ตรงชั้นผ้าทั้งหลายที่พับๆ ไปตบดู เผื่อสอดอะไรไว้ เราก็บอกว่าได้ค่ะ แต่ก่อนหน้านี้ ช่วง 3 ปีที่แล้ว แกเตรียมพร้อมไว้หมดทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องบ้าน แบงก์ เรื่องที่ทาง แกโอนให้ดิฉันหมดเลย
วัดก็เตรียม?
ม้า : อันนั้นมีอาจารย์ไปเยี่ยมด้วย ก็คุยพูดเล่นกันไปมา วันนั้นเราเห็นแม่คุยดี เราก็ไปกินข้าวกัน แล้วก็พูดว่าตกลงจะเอาฝั่งธน หรือฝั่งพระนคร ส่วนใหญ่ญาติจะอยู่วัดประยูร เราก็นึกไม่ออก แต่ตาที่สนิทกัน บอกว่าต้องฝั่งพระนคร เราลำบากคนเดียว ดีกว่าให้คนอื่นลำบากเป็นร้อย เราก็เลยเข้าใจได้
ซินแสเป็นหนึ่งเผยว่าวันที่ไปเจอคุณแม่ คุณแม่ลุกขึ้นมาแข็งแรง หัวเราะเสียงดัง คุยสนุกสนาน มีความสุข แต่เราเจอเรื่องราวแบบนี้หลายครั้ง พอถึงวาระสุดท้ายเหมือนสวรรค์จะส่งมาให้เขาได้บอกลาญาติๆ ให้เขาแข็งแรงขึ้น จนพี่ม้าบอกว่า ไม่ต้องทำอะไรแล้วมั้ง แข็งแรงแบบนี้อยู่อีกยาว วินาทีที่รู้สึกแอบใจหายคือเราบอกพี่ม้าว่าพอเสร็จเยี่ยมคุณม้า เราไปหาอะไรทานกัน คุณแม่บอกว่าเอาชุดมา แม่จะไปด้วย พี่ม้าบอกว่าไปไม่ได้ แม่บอกไปเสร็จเดี๋ยวกลับมานอนเหมือนเดิม พอถึงร้านอาหารก็ถามพี่ม้าว่าพี่วางแผนยังไง ในฐานะน้องที่สนิทกับพี่ แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้สึก พี่ม้าเป็นคนเด็ดขาด พี่ม้าจัดแจงทุกอย่าง ไม่ยื้อไม่รั้งใดๆ ทั้งสิ้น ให้แม่ไปสบายที่สุด อยากถามตรงนี้ รู้สึกยังไง ไม่ยื้อสักนิดเลยเหรอ?
ม้า : เราได้บอกแล้วว่าเราได้เตรียมพร้อมไว้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว เราก็เคยพูดคุยกับแม่ ตอนแม่แข็งแรงดี แม่บอกฉันไม่เอานะ จะมีสายระโยงรยางค์ มาเจาะคอ ไม่เอานะ เราก็บอกว่าไม่เอาเหมือนกัน ไม่อยากให้ต้องมานั่งทรมานเจ็บปวด ตอนเข้ารพ.วันแรก พอน้ำท่วมปอด รักษาได้ประมาณนึง ความดันก็เริ่มดีขึ้น คุณหมอก็ให้ดูอัลตร้าซาวด์ หมอบอกว่าปัญหาอยู่ที่หัวใจ ลิ้นหัวใจสองอันมีปัญหา พอคนอายุมากแล้ว หินปูนมาเกาะเยอะมาก ไม่โฟลว์แล้ว
ก็บอกว่าถ้าจะทำต้องสอด แต่ต้องวิเคราะห์หนักมาก แม่อายุ 98 แล้ว หมอบอกว่าถ้าทำก็อาจอยู่ได้ประมาณปีกว่า มีปัญหาอันนึงคือหมอปอดมา ให้ดูปอดเป็นอย่างนี้ แม่เคยมีปัญหาเกี่ยวกับปอดตอนอายุ 90 หมอบอกไม่เป็นไรหรอก ปล่อยไว้ก่อนแล้วกัน แต่ตอนมาเข้ารพ. จุดนั้นก็ลามไปที่ปอดทั้งสองข้างเลย อยู่ๆ ก็เป็นแบบนี้นะ ก่อนหน้านี้ 3-4 เดือนเช็กร่างกายทุกอย่างก็ไม่เป็นแบบนี้นะ พอเกิดปัญหานี้ขึ้น หมอยังไม่ได้บอกว่าเป็นเนื้อร้าย เพราะไม่ได้เอามาตรวจอะไร แต่บอกว่าถ้าเป็นเนื้อร้าย รักษาไม่ได้แล้วนะคนอายุขนาดนี้ ให้คีโมไม่ได้
เราก็บอกว่าเราเข้าใจมาก เขาก็ให้ใบนึงมา บอกว่าถ้าจะต้องเปลี่ยนการใส่ออกซิเจน เป็นง้างปากสอดท่อ เรายินยอมมั้ย ก็บอกว่าไม่ยินยอม เพราะเจ็บ เราเคยผ่าตัด เคยวางยาแล้วสอดท่ออย่างนั้น ตื่นมาเราพูดกับใครไม่ได้ เจ็บคอเป็นวันเลย ถ้าแม่ดิฉันอายุขนาดนี้คงไม่ไหว ช็อตหัวใจมั้ย ปั๊มมั้ย ก็บอกว่าไม่เจาะคอด้วยนะคะ ไม่ทำใดๆ ทั้งสิ้น ต้องมีน้องสาวเป็นพยาน เขาก็ร้องไห้ บอกว่าขอทำใจก่อน แต่ฉันเซ็นไว้ก่อน
สุดท้ายก็ต้องเซ็นด้วยกันทั้งคู่ เราไม่ปล่อยให้แม่ต้องทรมาน เราเห็นภาพแบบนี้กับพ่อแม่ทุกคน เราไม่เอา ผลสรุปพอคุณแม่เสียไป ดิฉันคุยกับหมอก่อนวันนึงว่าดิฉันคิดถูกหรือคิดผิด หมอบอกว่าคุณยายอายุขนาดนี้แล้ว ไม่เป็นไรครับ หลังจากคุณแม่เสียไป คุณหมอโทรมาบอกว่าคิดถูกแล้วนะครับ ถ้าคุณยายอยู่จะทรมานมากเรื่องปอด เพราะแผลที่ปอดเลือดออก เลือดไปคั่งอยู่ตรงหลอดลม ถึงได้อาเจียนหลังกินข้าวออกมาเป็นเลือด แกก็ช็อก ตาเหลือก นี่นางพยาบาลโทรมา หัวใจก็ค่อยๆ อ่อนแล้วหายไปเลย ถ้าดิฉันไม่เซ็นยินยอมเขาก็ต้องปั๊มขึ้นมา แม่ก็จะมีสายระโยงรยางค์ ซึ่งแม่ปั๊มไม่ได้ แม่แก่แล้วกระดูกกระเดี้ยวก็จะไม่เหลือสิ
แสดงว่าแอบลังเล ตอนถามหมอว่าคิดผิดหรือคิดถูก?
ม้า : ไม่ๆ ดิฉันฟังคนอื่นมาเล่าให้ฟังบ้าง ในใจเรามันเป็นบาปมั้ย เพราะเราเป็นคนเซ็น ยินยอม ดิฉันก็ไม่อยากเป็นบาป แค่นั้นเอง แต่หมอบอกว่าอายุขนาดนี้แล้ว กำไรชีวิตสุดๆ แล้ว พอแล้ว ถึงวาระแล้ว
คุณแม่สิ้นด้วยโรคอะไร?
ม้า : พอแผลที่ปอดมีเลือดออกมา หมอบอกว่าเป็นมะเร็ง แล้วอยู่ๆ มาแค่ 3 วันให้เห็น ซึ่งค่าอุปกรณ์ในการช่วยชีวิตแม่จะอยู่ที่ล้านนึง แล้วอยู่ได้แค่ปีกว่าๆ แต่จะอยู่ยังไง ปอดรักษาไม่ได้ อยู่ได้แต่แม่ต้องทรมานเรื่องปอดมาก ต้องเจ็บปวดมาก
ช่วงร้องไห้หนักสุดคือช่วงบอกญาติ?
ม้า : ไม่ได้ร้องไห้หนักมาก แต่วันนึงดิฉันตื่นสาย ต้องดูแลช่วงเย็น ให้น้องสาวดูแลช่วงกลางวัน ตอนสระผมอยู่มีโทรศัพท์เรียกอยู่นั่นแหละ ก็คิดว่าผิดปกติ รีบสระๆ ให้เสร็จ พอออกมาโทรกลับไป นางพยาบาลก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง ดิฉันไม่ได้ร้องไห้เลยนะ นิ่งมาก เข้าใจ ไม่ได้ร้องไห้กับการสูญเสียคุณแม่ไป ใจบอกเสมอว่าเราเตรียมมาพร้อมหมดทุกอย่าง ไม่มีอะไรค้างคาใจกับการดูแลแม่มาตลอดชีวิต เราให้หมดทุกอย่างเท่าที่ลูกจะดูแลแม่ เราไม่ได้ร้องเลย จนขับรถไป ก็เริ่มต้องโทรศัพท์บอกคนว่าแม่เสียแล้ว
ตอนนั้นที่บอก น้ำตามันมาเอง มันไหลไปเรื่อยๆ ดิฉันก็ไม่กล้าสะอึกสะอื้นมาก แต่ก็สะอึกสะอื้น โทรหาคนสนิท บอกว่าแม่ไปแล้ว ดิฉันร้องไห้ไปจนถึงรพ. แต่พอเห็นแม่แต่งตัว นางพยาบาลกำลังจัดการให้ ก็ไม่ได้ร้องไห้ ก็คิดว่าต้องทำอะไร ต้องไปวัดไหน ต้องแจ้งอะไร มีเรื่องแบบนี้มาวุ่นวายเยอะมาก จนต้องฝากศพแม่ไว้ที่รพ. วันรุ่งขึ้นถึงค่อยไปวัด จนแยกย้ายกันกลับบ้าน จะทำอะไร ติดต่ออะไร โคตรยุ่งมาก เราอยู่กับปัจจุบัน เข้าใจสัจธรรมแล้ว
คืนสวดอภิธรรมคืนที่เจ็ด พี่ม้ารู้สึกแปลกๆ?
ม้า : คืนแรกที่ร้องไห้ เพราะอาจารย์เป็นหนึ่งมา เพราะมันสดๆ ร้อนๆ เหมือนปลาบปลื้มมากกับสิ่งที่อาจารย์ทำไว้ ดิฉันมีความปิติ ร้องแบบโลกแตกโลกแตน แล้วร้องไปเรื่อยๆ กับคนที่ไม่นึกไม่ฝันเลย ที่เขาเอ็นดูเราตั้งแต่เรายังสาวๆ เอ๊าะๆ อยู่ ผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการมากันแบบ ดิฉันไม่ไหวแล้ว ดิฉันปิติมากกว่า จนเช้าวันที่ 7 ดิฉันตื่นมาแล้วรู้สึกว่า ทำไมวันนี้ฉันคิดถึงแม่จังเลย เพราะเรารู้แล้วว่าทุกอาทิตย์ที่ต้องไปหา เราก็ต้องเจอ ครั้งนี้เราจะไม่ได้เจอแล้ว น้ำตาก็มาเอง ก็ไม่เป็นไร ใจเย็นๆ นี่คือคิดถึง พอตอนเย็นไปที่วัด บอกน้องสาวว่าวันนี้ฉันคิดถึงแม่มาก น้ำตาก็มา น้องก็บอกว่าอย่าบิวต์ ถ้าร้องหนูไม่หยุดเลยนะ ก็บอกว่าคิดถึง แค่นั้น วันนั้นคือวันที่ 7 โคตรแห่งความคิดถึงเลย แปลกมาก
แม่มาเข้าฝันมั้ย?
ม้า : ไม่เลย แม่ไปไหนแล้วก็ไม่รู้ แกไม่มีห่วงแล้ว แกทำทุกอย่างสมบูรณ์แบบหมดกับเรา อยากให้มาด้วยนะ จะได้คุยกัน
วันที่จัดงาน รู้สึกว่างานพี่ไม่น่ามีใครมาเยอะ เพราะออกนอกวงการแล้ว พอวันนึงเฉพาะพวงหรีดมาเยอะมาก คนในวงการมาครบเลย ชมพู่ ก็พาสายฟ้า พายุ เกล มาด้วย?
ม้า : สิ่งที่ไม่คาดฝันทั้งหลาย กับการที่ในชีวิตอยู่ในวงการ รู้จักคนมาหมดทุกคน มากมายก็แล้วแต่ ไม่เคยคิดว่าทุกคนยังรักและระลึกถึงพี่อยู่เสมอ วันนี้เราได้เห็นอย่างชัดเจนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต ที่เราคงความดี มีใจที่บริสุทธิ์กับทุกคนมาตลอดเวลา ทุกคนกลับมาหาเราหมด โดยที่เรานึกไม่ถึงเลยว่าเป็นอะไรที่โคตรแห่งความปลาบปลื้มใจ คนที่เคยมีความค้างคาใจ ไม่ว่าจะตอนทำงานช่วงวิกฤตในชีวิตที่ต้องหลุดออกมาจากวงการ ทุกคนก็มาให้กำลังใจดิฉัน มันเป็นอะไรที่มีความรู้สึกโคตรแห่งความซาบซึ้ง (เสียงสั่น) ทุกครั้งที่คนพวกนี้มา มันอดไม่ได้ที่จะปิติ แล้วน้ำตาแห่งความปิติจะหลั่งไหลออกมาตลอด มันพิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่เราทำมาตลอดทั้งชีวิต มันตอบแทนให้เห็นถึงความรักเรา พูดทีไรเรารู้สึกว่าเราดีใจที่สุด (เสียงสั่น น้ำตาคลอ) ไม่รู้จะว่ายังไง ขอบคุณมากจริงๆ
มีแขกท่านหนึ่งมา พี่ม้าชื่นใจแน่นอน เรารู้สึกได้ว่าพี่ม้าชื่นใจ ปิติ เราเห็นแววตาพี่ม้ากับแขกท่านนึง คือคุณนิด อรพรรณมาที่งาน พี่ม้าเหมือนไม่คิดว่าจะมา?
ม้า : บอกตามตรงเลยนะ ตั้งแต่ออกจากวงการนี้มา (เสียสั่นเครือ) พี่ขอบคุณทุกอย่างที่ให้โอกาส คนที่ให้โอกาสมาตลอด พอวิกฤตที่ออกไป รู้สึกว่าคงจบสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ทุกคนคงค่อยๆ ลืมเลือนดิฉันไป ดิฉันไม่ได้หวังอะไร ว่าจะต้องมาเจอกัน มาร่วมงานกันอีก หรือมาร่วมทุกข์ร่วมสุข หรือโอบอุ้มเราต่อไป ดิฉันไม่นึกแล้วนะ ดิฉันปล่อยวางไปเลย ไม่นึกถึง
แต่เราก็ไม่คิดว่าเขายังระลึกและรักเราอยู่เสมอ สิ่งนี้เลยทำให้เรารู้สึกว่า เราอาจมองผิดไป ดิฉันไม่ใช่ไม่รัก หรือไม่รู้จักบุญคุณนะ บุญคุณนี้นึกถึงเสมอ ต่อให้ใกล้ตายก็ยังนึกถึงบุญคุณกับทุกคนที่หยิบยื่นโอกาสให้ ไม่เคยลืมเลือน แต่ด้วยเหตุการณ์กับจังหวะชีวิตที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แยกย้ายกันไป ก็ได้แค่ระลึก ไม่นึกว่าจะได้กลับมาเจอะเจอ
ช่วงวิกฤตก็มีอีกคนที่เราไม่นึกเลย คิดว่าเขาคงไม่ชอบดิฉันไปแล้วด้วยซ้ำ ไม่นึกว่าเขาจะมา คือพี่ไก่ วรายุฑ ณ ตอนนั้นดิฉันก็รู้สึกว่าดิฉันได้หลุดออกไปจากทุกรายการที่ดิฉันทำอยู่ทั้งหมด ก็คิดว่าทุกคนคงไม่ได้ชอบฉันแล้ว จากเหตุการณ์ที่เกิดในชีวิตตัวเอง ก็ให้มันจบ ไม่เป็นไร ขอบคุณที่เราเคยอยู่ร่วมกัน ให้โอกาสเรามา ก็คิดว่าคงไม่มีแล้ว
ได้คุยอะไรกับคุณนิดบ้าง?
ม้า : ก็มีการพูดคุย บอกว่าพี่จำไว้นะ เรายังรักกันอยู่เสมอ ยังไงก็ไม่ทอดทิ้งกันอยู่แล้ว
ชื่นใจมั้ย?
ม้า : ดิฉันน้ำตาไหลตลอดเวลาเลย
ตอนพี่ไก่ล่ะ?
ม้า : อันนั้นโฮเลย เพราะไม่นึกว่าแกจะมา พี่ไก่พูดว่ายังไงฉันก็เป็นเพื่อนเธอ ฉันไม่มาไม่ได้ (เสียงเครือ) พี่ไก่มาวันเผาแม่ด้วย ไม่เคยนึกนะ เพราะเราคิดว่ามันคงจบไปหมดแล้ว นึกออกมั้ย
อยากบอกอะไรกับพวกเขาบ้าง?
ม้า : ขอบคุณที่สุดเลย ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว ตั้งแต่อยู่เขาก็ให้โอกาส มันอยู่ในใจเรามาตลอดเวลา แม้เราไม่อยู่เขาก็ยังระลึกถึง ไม่รู้จะพูดยังไง ซาบซึ้งใจมากที่สุดแล้วนะ ที่เราทำไว้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีใครลืมเรา แม้เราไม่อยู่แล้วก็ไม่มีใครลืมเรา
คิดถึงวงการมั้ย อยากกลับมาวงการบันเทิงมั้ย?
ม้า : ต้องถามกลับว่าวงการบันเทิงคิดถึงดิฉันมั้ย เพราะอาชีพอย่างเรา ต้องรอให้เขาเรียก ดิฉันของานคนไม่เป็นนะ ตั้งแต่อยู่มา แต่ทำเต็มที่สุดความสามารถให้คนเห็น แล้วให้เขาเรียกเราไป ถ้าเขากริ๊งมา 4 ปีแล้วนะ ก็น่าจะไปได้นะ