ป้าล้มทั้งยืน ว่าที่สะใภ้แสบ ริทำตัวเป็นโจร เอาทองปลอมสลับทองแท้ ขโมยเอทีเอ็มไปกดเงิน

21 มี.ค. 66

ว่าที่ลูกสะใภ้แสบ แอบนำสร้อยคอทองคำแท้น้ำหนัก 3 บาท ออกไปแล้วนำสร้อยปลอมมาสวมใส่แทน แถมเอาบัตรเอทีเอ็มแอบไปกดเงิน กลัวคดีไม่คืบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจลากคอมาดำเนินคดี

ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากนางนันทิยา อายุ 52 ปี ชาวบ้านบ่อน้ำใส ต.ตรึม อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ ว่าเมื่อปลายปี 2565 ลูกชายของตนเองได้ไปมีแฟนที่รู้จักกันทางเฟซบุ๊กชื่อ น.ส.วีรวรรณ อายุประมาณ 33 ปี บ้านอยู่ที่อำเภอสำโรงทาบ และได้เข้ามาอยู่ภายในบ้านได้ประมาณ 7 เดือน หลังจากนั้นบัตรเอทีเอ็มของตนเองที่เก็บไว้ภายในห้องนอนตู้เสื้อผ้าได้หายไป โดยมีเงินในบัญชีจำนวน 1 แสนบาท และได้ไปแจ้งความไว้ที่ สภ.หนองจอก ต.คาละแมะ อ.ศีขรภูมิ และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ติดตาม น.ส.วีรวรรณ ผู้ต้องสงสัยเข้ามาสอบถามซึ่ง น.ส.วีรวรรณ ให้การปฏิเสธและไม่รู้ไม่เห็น

1679385676924

นางนันทิยา ยังบอกอีกว่านอกจากจะเป็นบัตรเอทีเอ็มแล้วของตนที่หายแล้ว ยังนำเอาสร้อยคอทองคำแท้ที่ถูกซ่อนไว้ในกระเป๋าตู้เสื้อผ้าจำนวน 3 เส้นไปขายแล้วนำทองปลอมมาสวมใส่เหมือนกับไม่มีอะไร ตนมารู้ก็ตอนจะนำไปขายเพื่อไปใช้หนี้ ธ.ก.ส.ทางร้านทองบอกว่าเป็นทองปลอม ตนตกใจแทบล้มทั้งยืน แถมผ้าไหมที่ตนเก็บเอาไว้ก็หายไปหลายผืน ซึ่งคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากว่าที่ลูกสะใภ้เท่านั้นที่นำออกไป เพราะลูกสะใภ้เคยขอนำกุญแจตู้เสื้อผ้ามาจำนวน 3 ดอกแล้วหายไปจำนวน 1 ดอก

1679385621072

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้ไปสอบถามกับ ร.ต.อ.ประสิทธิ์ จันทร์ดำ พนักงานสอบสวนเวร สภ.หนองจอก ต.คาละแมะบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้เข้าไปขอความร่วมมือกับธนาคารแห่งหนึ่งภายในเขตพื้นที่อำเภอสำโรงทาบ ก็พบว่าคนร้ายที่นำบัตรเอทีเอ็มไปกดเงินนั้นไม่ใช่ใครเป็นว่าที่ลูกสะใภ้ของผู้แจ้งเอง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ออกหมายเรียกไปแล้ว 1 ครั้ง เมื่อวันที่ 14 มี.ค.66 ที่ผ่านมา และคนร้ายที่นำสิ่งของออกไปทั้งหมดคาดว่าน่าจะเป็นคนเดียวกันกับผู้ที่แจ้ง และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ออกหมายเรียกไปแล้ว หากครั้งที่ 2 ไม่มาก็คงออกหมายจับอย่างแน่นอน

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส