จากกรณี วันที่ 6 ม.ค.65 เวลา 20.00 น. เกิดเหตุยิงกันเจ็บหลายรายในบ้านพัก พื้นที่หมู่ 2 ต.โคกยาง อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ ผัวคลั่งยิงลูก 3 ขวบดับ ยิงเมียสาหัส ก่อนยิงตัวตายตาม ลูกชายวัย 12 ปีรอดชีวิต คาดเครียดจากอาการป่วย
วันที่ 7 ม.ค. 65 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปยังจุดเกิดเหตุบริเวณหมู่ 2 ต.โคกยาง อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ เมื่อไปถึงพบว่าไม่มีใครอยู่บ้าน แต่การสอบถามเพื่อนบ้านทราบว่าภายในบ้านจุดเกิดเหตุ คนในครอบครัวผู้เสียชีวิตชำระล้างคราบเลือดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้ามาทำการตรวจสอบเก็บหลักฐานไป
นางผ่องศรี ทองทิพย์ อายุ 55 ปี เพื่อนบ้านตรงข้าม เผยว่า ผู้ก่อเหตุคือนายฉัตรชัย สมดวง อายุ 40 ปี ถูกยิงเข้าบริเวณศีรษะ 1 นัด เสียชีวิตที่ รพ.กระบี่ ผู้บาดเจ็บสาหัสคือ น.ส.ดวงกมล ทองทิพย์ อายุ 40 ปี ภรรยาผู้ก่อเหตุ ถูกยิงเข้าบริเวณกลางหน้าผาก อาการยังสาหัส นอนไม่รู้สึกตัวอยู่ที่ รพ.กระบี่ ส่วน ด.ช.ปัญญากร อายุ 3 ปี ลูกของผู้ก่อเหตุเสียชีวิต ถูกยิงเข้ากลางหน้าผาก และด.ช.เอ (นามสมมติ) อายุ 12 ปี ไม่ได้รับบาดเจ็บ
ปกติแล้วครอบครัวผู้เสียชีวิตจะอาศัยอยู่ในบ้านจุดเกิดเหตุ รวมทั้งหมด 4 คน ประกอบอาชีพเพาะพันธุ์ต้นกล้าปาล์มน้ำมันขาย อัธยาศัยดี เพื่อนบ้านรักใคร่ ไม่เคยมีปัญหาอะไรกับใครให้เห็น แต่เท่าที่ทราบมา ตนรู้มาว่านายฉัตรชัยมีโรคประจำตัว คาดว่าโรคหัวใจ หรือดีซ่าน ซึ่งทางแพทย์ได้นัดไปตรวจร่างกายในวันที่ 8 ม.ค. 65 แต่ดันมามาก่อเหตุดังกล่าวก่อน
วันเกิดเหตุ 6 ม.ค. 65 เวลาประมาณ 19.00-20.00 น. ชาวบ้านบริเวณโดยรอบพื้นที่บ้านจุดเกิดเหตุ ยืนยันว่าไม่มีใครได้ยินเสียงปืน แต่มาทราบข่าวหลังจากที่นายฉัตรชัยก่อเหตุยิงคนในครอบครัวแล้ว โดย ด.ช.เอ (นามสมมติ) อายุ 12 ปี ลูกชายคนโตของผู้ก่อเหตุที่นอนดูโทรทัศน์อยู่ที่ห้องโถงบ้านจุดเกิดเหตุ ได้วิ่งออกมาขอความช่วยเหลือจากชาวบ้าน ชาวบ้านและญาติที่ทราบเรื่องจึงรีบไปยังที่เกิดเหตุปรากฎพบหน้าห้องนอนภายในบ้านมีรอยเลือดกองใหญ่ ห้องนอนพบกองเลือดนองเต็มพื้นห้อง ภายในห้องนอนพบปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม. ตกอยู่ 4 ปลอก หัวกระสุน 9 มม. ตกอยู่ 1 หัว พร้อมกับศพนายฉัตรชัย และ ด.ช.ปัญญา
ส่วน น.ส.ดวงกมล ภรรยาผู้บาดเจ็บ ยังไม่เสียชีวิตในทันที เพื่อนบ้าน และญาติจึงประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ กู้ภัยเข้าทำการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล และตรวจสอบที่เกิดเหตุดังกล่าว ส่วนอาวุธปืนที่เจ้าหน้าที่พบถูกนำไปตั้งไว้บริเวณศาลาหน้าบ้าน ห่างจากตัวบ้านประมาณ 30 เมตร เป็นอาวุธปืนบาเร็ดต้าขนาด 9 มม. ภายในแมกกาซีนมีกระสุนอยู่ 3 นัด จากการสอบถาม ด.ช.เอ (นามสมมติ) ทราบว่าหลังเจ้าตัวได้ยินเสียงปืนและวิ่งออกมาดู เห็นร่างพ่อที่ยิงคนในครอบครัว ก่อนยิงตัวตายนอนอยู่ที่พื้นบ้าน ภายในมือถืออาวุธปืน เจ้าตัวจึงหยิบปืนออกมาจากมือผู้ก่อเหตุวางไว้ที่ศาลาหน้าบ้าน ก่อนวิ่งขอความช่วยเหลือ
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนก็รู้สึกเสียใจที่ต้องมาเกิดเหตุดังกล่าวขึ้นกับครอบครัวผู้เสียชีวิต อีกทั้งสงสารภรรยาและลูกชายที่ต้องมาเสียชีวิตด้วยน้ำมือพ่อแท้ ๆ รายละเอียดเจาะลึกตนก็ไม่ทราบว่า ปมก่อเหตุที่เกิดขึ้นมาจากปัญหาความเครียดเรื่องโรคประจำตัว หรือปัญหาขัดแย่งภายในครอบครัวทำให้นายฉัตรชัยตัดสินใจลงมือก่อเหตุดังกล่าว ตนก็ขอแสดงความเสียใจกับคนในครอบครัวของผู้เสียชีวิตด้วย
ทีมข่าวได้เดินทางมาที่จุดเกิดเหตุ บ้านพักของผู้ตายในพื้นที่ หมู่ 2 ต.โคกยาง อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ ลักษณะบ้านเป็นบ้านชั้นเดียว ล้อมรอบด้วยสวนปาล์ม ห่างจากถนนทางเข้าประมาณ 20 เมตร ด้านหน้าบ้านมีศาลานั่งเล่น ซึ่งมีของเล่นเด็กวางอยู่ และบริเวณศาลเจ้าที่หน้าบ้านมีการนำผ้าแดงมาคลุมไว้ ตามความเชื่อของชาวบ้าน หากบ้านไหนมีงานศพให้นำผ้ามาคลุมศาลไว้ เจ้าของบ้านที่ตายจะได้กลับเข้าบ้าน
บริเวณกระถางธูปหน้าศาลยัง สังเกตเห็นว่าเพิ่งจะจุดธูปได้ไม่กี่วัน และจากการสังเกตบริเวณรอบตัวบ้าน พบว่าทั้งสี่มุมของตัวบ้าน ทั้งหน้าบ้าน และหลังบ้านมีร่องรอยของการจุดธูป และวางผ้ายันต์สีเหลืองประทับอักษรจีนสีแดงไว้
นางจิตรา แก้วโลก อายุ 53 ปี คนที่เห็นผู้ตายจุดธูปก่อนเกิดเหตุ เผยว่า เมื่อวันที่ 5 ม.ค. 65 เวลาประมาณ 23.00 น. ตนกับสามีกำลังขี่รถจักรยานยนต์กลับจากกรีดยาง และขณะที่ขับรถผ่านหน้าบ้านของผู้ตาย ตนสังเกตเห็นว่านายฉัตรชัยกับนางสาวดวงกมลกำลังจุดธูปหน้าศาลเจ้าที่หน้าบ้าน ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน และปิดบ้านเงียบ ส่วนตัวสงสัยแต่ไม่ได้เข้าไปดู
กระทั่งวันต่อมาชาวบ้านได้มาเล่าให้ตนฟังว่า เห็นทั้งคู่เดินจุดธูปรอบบ้าน 4 มุมของตัวบ้าน แต่ไม่รู้ว่าจุดเพื่ออะไร เพราะคนแถวนี้ไม่เคยจุดธูปแบบนี้มาก่อน อีกทั้งเพื่อนบ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามยังได้ยินว่าขณะที่จุดธูปตางหน้าศาลเจ้าที่ นายฉัตรชัยได้พูดทำนองว่า “ทำไปก็ไม่มีประโยชน์” เท่าที่ตนทราบ 2 วันก่อนที่จะมาจุดธูป นายฉัตรชัยได้ไปบ้านญาติที่อยู่ต่างอำเภอ บ้านของพ่อ และเกิดอาการหวาดระแวง น่าจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่กลับมาจุดธูป ส่วนตัวรู้จักกับนายฉัตรชัยมานานแล้ว และนายฉัตรชัยเป็นคนดีมาก มีน้ำใจกับตนมาก และบอกกับตนเสมอว่าถ้ามีอะไรให้ช่วยขอให้บอก และไม่ใช่คนที่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่
ทั้งนี้ นายฉัตรชัยไม่เคยเล่าปัญหาส่วนตัวให้ฟัง แต่เคยปรึกษากับตนในทำนองว่าคนทำธุรกิจทุกคนต้องมีหนี้สินเป็นธรรมดา แต่ไม่ได้เข้ารายละเอียดให้ฟัง และเท่าที่ทราบ ไม่ได้มีหนี้สินอะไรเยอะมากนัก โดยครั้งล่าสุดที่ตนคุยกับนายฉัตรชัย ช่วงเช้า ของวันที่ 4 ม.ค. ตนกำลังคุยกับเพื่อนบ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของนายฉัตรชัย นายฉัตรชัยได้เดินมาคุยเล่นกับตนพร้อมกับบอกว่าจะชวนไปกินข้าว
นายไตรรัตน์ ทองทิพย์ อายุ 38 ปี น้องชายของภรรยาผู้ก่อเหตุ กล่าวว่า สำหรับกรณีที่เกิดขึ้น คนในครอบครัวยืนยันว่าไม่ทราบปมเหตุที่นายฉัตรชัยตัดสินใจใช้อาวุธปืนยิงพี่สาวจนได้รับบาดเจ็บสาหัส และยิงหลานชายวัย 3 ขวบจนตาย เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาครอบครัวของผู้เสียชีวิตก็ดูรักใคร่ปองดองกัน ไม่เคยมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกันให้คนในครอบครัว อีกทั้งเมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ตนรวมไปถึงคนในครอบครัวก็ได้มารวมตัวกันที่บ้านนายฉัตรชัย เพื่อเลี้ยงฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ พูดคุยนายฉัตรชัยก็ดูเป็นปกติ ยิ้มแย้มแจ่มใส
ส่วนกรณีอาการป่วยโรคประจำตัวของผู้เสียชีวิตนั้น ครอบครัวยืนยันว่าไม่ทราบ คาดว่าเป็นโรคหัวใจ ดีซ่าน เพราะนายฉัตรชัยจะไม่ค่อยบอกเรื่องส่วนตัวให้คนในครอบครัวรู้ กระทั่งมาเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น
ทั้งนี้ การลงมือก่อเหตุตนรู้สึกติดใจ เพราะมองว่าหากนายฉัตรชัยมีปัญหาความเครียดอะไรในใจ ก็ไม่น่าจะมาก่อเหตุกับคนรอบข้างโดยเฉพาะภรรยาหรือลูก ถึงขั้นยิงกันจนตาย หลังจากเกิดเหตุแล้วคนในครอบครัวคงทำอะไรไม่ได้ แต่คงปล่อยให้เป็นเวรกรรมที่ผู้ก่อเหตุจะได้รับหลังจากเสียชีวิตไป
ทีมข่าวเดินทางมาที่สำนักสงฆ์ ควนเกาะจันทร์ หมู่ 2 ต.โคกยาง อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ ที่ตั้งบำเพ็ญกุศลของนายฉัตรชัย และ ด.ช.ปัญญากร อายุ 3 ปี ลูกชาย เวลาประมาณ 15.30 น. กู้ภัยมูลนิธิกระบี่พิทักษ์ประชา ได้นำศพของ น.ส.ดวงกมล ทองทิพย์ อายุ 40 ปี ภรรยาผู้ก่อเหตุที่ถูกยิงเข้าบริเวณกลางหน้าผาก เพิ่งจะเสียชีวิตมาจัดวางไว้คู่กัน โดยร่างของนายฉัตรชัยตั้งอยู่ด้านซ้ายสุด ร่างของนางดวงกมลตั้งอยู่ตรงกลาง และด.ช.ปัญญากร ตั้งอยู่ด้านขวาสุด
ญาติพี่น้องของนางสาวดวงกมลเห็นสภาพศพของผู้เสียชีวิต ต่างพากันร้องได้โฮ ฃก่อนจะจัดพิธีรดน้ำศพทั้งน้ำตา โดยทางญาติพี่น้องของนายฉัตรชัย ได้เข้ามาร่วมรดน้ำศพด้วย
นายไตรณรงค์ สมดวง อายุ 38 ปี น้องชายของนายฉัตรชัย เป็นคนสุดท้ายที่ติดต่อกับครอบครัว เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้เวลาประมาณ 19.30 น. ตนได้โทรหานางสาวดวงกมล พี่สะใภ้ของตน เพื่อสอบถามว่านายฉัตรชัยอาการดีขึ้นหรือยัง เนื่องจากเมื่อ 2 วันที่แล้ว นายฉัตรชัยมีอาการป่วย หวาดระแวง เพราะได้ยินมีคนมาพูดข้างหู คล้ายกับหูแว่ว แต่ไม่ได้บอกว่าพูดคำว่าอะไร ทั้งนี้ นายฉัตรชัยไม่เคยไปหาหมอมาก่อน เพราะเพิ่งมีอาการได้ 2 วัน และนัดกันว่าวันพรุ่งนี้จะพาไปหาหมอ
โดยขณะที่พูดคุยผ่านโทรศัพท์ นางดวงกมลก็บอกว่านายฉัตรชัยดีขึ้นแล้ว กำลังจะกินยาเพื่อนอนหลับ ตนก็ไม่ได้เอะใจ จึงวางสายไป กระทั่ง 20 นาทีต่อมา ลูกชายคนโตของผู้ตาย อายุ 12 ปี โทรมาหาบอกกับตนว่า "อา พ่อฆ่าตัวตายแล้ว" ก่อนจะตัดสาย ตนจึงรีบขับรถมาทันที ทั้งนี้ ตนไม่ทราบสาเหตุเช่นกันว่ามาจากอะไร เพราะนายฉัตรชัยเป็นคนนิ่งเงียบ เท่าที่ทราบธุรกิจที่ทำก็ไม่ได้มีปัญหา แต่เมื่อ 4 ปีที่แล้ว เคยป่วยเป็นไทรอยด์อักเสบ และเป็นช่วงที่นายฉัตรชัยเครียด มักจะทะเลาะกับคนในครอบครัว แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยได้ยินว่าทะเลาะกัน
ส่วนตัวจะพูดเตือนนายฉัตรชัยตลอดว่าทำอะไรก็ให้คิดถึงครอบครัว นายฉัตรชัยก็ตอบกลับมาว่า "ไม่ต้องห่วง ไม่ทิ้งลูกกับภรรยาแน่นอน" เพราะนายฉัตรชัยเป็นคนรักครอบครัวมาก และลูกชายคนเล็กที่เสียชีวิตก็เป็นลูกที่นายฉัตรชัยรักมาก ส่วนนางสาวดวงกมลก็คบหากันมากว่า 10 ปี
สำหรับคำพูดที่ว่าไม่มีทางทิ้งลูกและภรรยาแน่นอน ตนไม่แน่ใจว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ เพราะไม่มีใครทราบเรื่องจริง ๆ ซึ่งขณะนี้ตนยังไม่ได้พูดคุยกับลูกชายคนโตของผู้ตาย เพราะน้องยังเล็กอยู่ และสภาพจิตใจของน้องยังไม่ดีขึ้น สุดท้าย ตนอยากจะฝากให้กำลังใจคนที่กำลังเผชิญปัญหาว่าถ้ามีปัญหาอะไรให้ปรึกษาคนที่เชื่อใจ หรือญาติพี่น้อง เพื่อช่วยกันหาทางออกที่ดีกว่านี้
นายสุรัตน์ สมดวง อายุ 65 ปี พ่อของนายฉัตรชัย เผยว่า ครั้งล่าสุดที่พูดคุยกันคือ เมื่อประมาณ 2 วันก่อน และวันนั้น นายฉัตรชัยก็ไม่ได้พูด หรือเล่าปัญหาอะไรให้ฟัง เพราะนายฉัตรชัยจะเป็นคนเงียบ สำหรับสาเหตุที่ก่อเหตุในครอบนี้ ตนไม่ทราบว่าเกิดจากเรื่องอะไร ส่วนปัญหาสุขภาพ ตนทราบเพียงว่าเคยป่วยเป็นไทรอยด์ แต่ตอนนี้หายดีแล้ว โดยก่อนที่จะเกิดเรื่องนั้นไม่ได้มีลางบอกเหตุ แต่เมื่อหลายเดือนก่อนนายฉัตรชัยเคยกล่าวกับตนทำนองว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ซึ่งตนก็พยายามกล่าวเตือนทั้งยังให้กำลังใจ ตอนนี้ตนรู้สึกเสียใจมาก ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้ลูกชายทำแบบนี้
ทีมข่าวได้พูดคุยกับพี่ชาย และกลุ่มญาติพี่น้องของนางสาวกมล ให้ข้อมูลว่า ตอนนี้ยังรู้สึกโศกเศร้าเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น และยังทำใจไม่ได้ อีกทั้งไม่อยากจะให้ข่าวที่ออกไปกระทบจิตใจหลานคนโต เพราะหลานยังต้องมีชีวิตอยู่ และต้องใช้ชีวิตต่อไป