กรณีตำรวจ สภ.เพนียด จ.ลพบุรี รับแจ้งพบศพชายพิการผูกคอตัวเองเสียชีวิตอยู่ใต้ต้นไม้ริมถนน หมู่ 1 บ้านดงมะรุม ต.ดงมะรุม อ.โคกสำโรง จึงประสานแพทย์พร้อมหน่วยกู้ภัยร่วมตรวจสอบ โดยภรรยาของผู้ตายสงสัยว่าไม่ใช่เป็นการฆ่าตัวตาย แต่เกิดจากการทะเลาะกับเพื่อนบ้านและมีการฆ่านำไปผูกคอใต้ต้นมะขามเพื่องอำพราง
โดยพบพิรุธว่าวีลแชร์ที่ผู้ตายนั่งเป็นประจำได้หายไป อีกทั้งสายไฟที่นำมาใช้ก่อเหตุ จะต้องอาศัยการออกแรงพอสมควรเพื่อมัดเป็นบ่วงผูกคอ ขณะเดียวกัน กู้ภัยที่เข้าตรวจสอบตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ศพไม่มีลักษณะลิ้นจุกปากอย่างเช่นศพที่ผูกคอโดยทั่วไป (อ่าน :
พิการผูกคอตายปริศนา! เมียเชื่อถูกฆ่าโยงเพื่อนบ้าน - คู่กรณีโต้ เมาป่วน เดินปร๋อ) อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 24 ต.ค. 61 เจ้าหน้าที่พบวีลแชร์ของผู้ตาย ถูกทิ้งไว้ห่างจากจุดเกิดเหตุ
วันที่ 25 ต.ค. 61
นางเสมอใจ เอี่ยมสำอางค์ อายุ 67 ปี ภรรยาของนายบุญ เอี่ยมสำอางค์ อายุ 58 ปี ผู้เสียชีวิต นำทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ย้อนดูจุดที่สามีผูกคอตาย หากยืนอยู่บริเวณทางเข้าหน้าบ้านจะห่างออกไปเพียงเล็กน้อย ประมาน 800 เมตร และห่างจากบ้านของเพื่อนบ้านที่ทะเลาะกันประมาณ 200 เมตร ส่วนทางเข้าบ้านมีเพียงทางเดียว ซึ่งเป็นพื้นดินที่มีหญ้ารกทึบ แต่เป็นทางที่มีร่องรอยของล้อรถวีลแชร์ของผู้ตาย ซึ่งก่อนหน้านี้ทางจะโล่งเตียนกว่านี้ แต่ด้วยปัจจุบันฝนตก ทำให้หญ้าขึ้นเร็ว
นางเสมอใจ เล่าว่า ส่วนตัวยังสงสัยการเสียชีวิตของสามี แต่ก็ไม่สามารถปรักปรำใครได้ โดยขอให้เป็นไปตามกระบวนการพิสูจน์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะก่อนหน้านี้ตนเองตั้งความหวังอยากเจอรถวีลแชร์ แต่ตอนนี้เจอแล้ว ก็ต้องสืบกันต่อไปว่าทำไมรถถึงไปอยู่บริเวณจุดดังกล่าวที่ห่างจากบ้านไปเกือบ 1 กิโลเมตร ส่วนวันที่เจอวีลแชร์ มีเพื่อนบ้านคนหนึ่งออกไปหาเศษข้าวโพด เพื่อจะเอาไปให้ไก่ที่เลี้ยงไว้ แต่ได้ไปเจอกับรถวีลแชร์ที่ซุกเอาไว้ในกออ้อยติดกับไร่ข้าวโพด ซึ่งบอกว่าลักษณะรถวีลแชร์ที่พบยังอยู่ในสภาพดีปกติ แต่มีลักษณะเหมือนคนดันซุกเข้าไป และทางเข้าก็ไม่พบรอยล้อ
ตนยืนยันว่า นิสัยของผู้ตายจะไม่เข้าไปในที่แบบนั้น และหากจะเอารถไปซุกไว้แล้วใช้ไม้เท้าเดินกลับมาหลังบ้าน เพื่อผูกคอตายก็จะลำบาก เพราะผู้ตายเดินได้ไม่ไกลมาก เวลาเดินหนัก ๆ จะปวดเข่า หากเดินตามถนนใหญ่จะใช้เวลานาน จึงจะมาถึงบ้านได้ แต่ถ้าใช้ทางป่าเพื่อกลับหลังบ้านจะต้องผ่านป่ายูคาลิปตัส ป่าข้าวโพด และลุยหญ้ารกสูง ซึ่งเชื่อว่าสามีจะไม่เดินผ่านมาอย่างแน่นอน เพราะเป็นอุปสรรคสำคัญของคนพิการ
ด้าน
นายอ๊อด นิลละออ คนพบวีลแชร์ นำทีมข่าวเดินทางไปดูจุดที่พบรถวีลแชร์ ซึ่งเป็นกออ้อยรกสูง โดยผู้ตายสามารถเข็นวีลแชร์เข้าไปได้ แต่มีความลำบากเพราะทางแคบและพื้นไม่เรียบ ส่วนจะนำรถกระบะหรือรถสี่ล้อเข้าไปก็สามารถขับผ่านเข้าไปได้ แต่ไม่พบร่องรอยของล้อรถใหญ่ ประกอบกับทางเข้าไปจะมีต้นมะละกอปลูกอยู่ระหว่างกึ่งกลางของทางดังกล่าว จึงเป็นอุปสรรคที่จะนำรถใหญ่เข้าไปด้านในของกออ้อย
ซึ่งจากจุดที่พบวีลแชร์ของผู้ตาย หากย้อนออกไปตามถนนใหญ่จะมีเส้นทางรวมประมาณ 1.5-2 กิโลเมตร แต่ถ้าใช้ทางทุ่งนาและไร่ข้าวโพดจะร่นระยะทางเหลือเพียง 1 กิโลเมตร แต่พื้นค่อนข้างไม่เรียบ ซึ่งคาดว่าเป็นทางสำหรับรถยกสูงสี่ล้อเท่านั้น หากผู้ตายที่เป็นคนพิการจะเดินกลับไปจะต้องมีความลำบากค่อนข้างมาก แต่เส้นทางไร่สามารถเดินทะลุไปยังจุดที่ผูกคอตายหลังบ้านได้
นายอ๊อด เล่าเหตุการณ์ว่า เมื่อวานนี้ (24 ต.ค.) เวลาประมาณ 12.00 น. ตนเองได้ออกจากบ้านเพื่อจะไปเก็บข้าวโพดที่ตกอยู่บนพื้นในไร่ของญาติที่เก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว เพื่อจะนำมาให้ไก่ที่เลี้ยงไว้ จนกระทั่งเดินไปใกล้ต้นมะละกอ แต่สุดท้ายก่อนถึงต้นมะละกอก็พบกับวีลแชร์ลักษณะหัวปักเข้าไปที่ต้นอ้อย และห่างกันอีกไม่ไกลเจอท่อนเหล็กตกอยู่ จากนั้นตนเองจึงได้แจ้งกับผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เพื่อเข้ามาดู เพราะเชื่อว่าเป็นรถคันที่ทุกคนกำลังตามหา
ซึ่งบริเวณจุดที่พบเป็นทางแคบ มีต้นอ้อยรกสูง และเป็นพื้นที่ปลูกข้าวโพดเอาไว้ข้าง ๆ ซึ่งจากการสังเกตไม่พบร่องรอยของล้อรถ เพราะช่วงดังกล่าวฝนตกลงมาทำให้ลบรอยบนพื้นออกไป ส่วนเจ้าของที่ดินแปลงนี้ เดิมทีเคยเป็นญาติในครอบครัว แต่ปัจจุบันถูกขายให้กับผู้อื่นไปแล้ว
ขณะที่
เจ้าของร้านค้า ซึ่งถูกระบุว่ามีปัญหากับผู้ตาย กล่าวกับเพียงว่า เรื่องจบแล้ว ตนเองเป็นเพียงนายจ้างไม่มีอะไรให้ความเห็นเพิ่มเติมอีกแล้ว ขอให้เรื่องนี้เป็นไปตามกระบวนการของตำรวจ