จากกรณีที่ ชาวบ้านใน จ.นครราชสีมา และจังหวัดอื่น ๆ ได้พากันนำลาวาโคลน ที่อยู่กลางทุ่งนา บ้านหนองกุงน้อย หมู่ที่ 10 ต.โคกกระเบื้อง อ.บ้านเหลื่อม จ.นครราชสีมา เพื่อไปใช้พอกหน้า พอกแขน รักษาโรค ปวดเมื่อยตามร่างกาย และบางคนตักเอาน้ำที่อยู่ติดกับแนวโคลนที่ผุดออกมาไปดื่มอีกด้วย โดยเชื่อว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ รักษาโรคภัยไข้เจ็บหายได้นั้น (อ่าน : ชาวบ้านแห่ตักโคลนผุดไปพอกหน้า ดื่มกิน เชื่อช่วยหน้าใส รักษาโรค – นักธรณีเตือนเสี่ยงอันตราย)


วันที่ 11 ก.พ. 62 นพ.สิทธา ลิขิตนุกูล หรือ หมอกอล์ฟ แพทย์สังคมสื่อสารเพื่อคุณธรรม เจ้าของเพจคุณหมอสตอรี่ ให้ความเห็นเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า ต้องแยกก่อนว่าโคลนลาวา เป็นโคลนที่มาจากภูเขาไฟจริงหรือไม่ เพราะโคลนลาวาของจริง เป็นดินที่ผ่านความร้อนสูง และมีเกลือแร่ แร่ธาตุที่อุดมสมบูรณ์มาก ทั้งแคลเซียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม ซิลิก้า ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย

แต่อีกแบบคือโคลนที่เกิดกลางทุ่งนา แต่คนคิดว่าคือโคลนลาวา ซึ่งอาจผ่านการปะปนกับเชื้อโรค และสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ซึ่งตนมองว่าถ้าใช้โคลนที่เกิดกลางทุ่งนา ให้ผู้ใหญ่ที่สุขภาพร่างกายแข็งแรง และไม่มีโรคประจำตัว ผิวพรรณมีภูมิต้านทานดี เมื่อทาโคลนลงไปก็ทำให้มีผิวพรรณดี เพราะได้รับเกลือแร่ และร่างกายสามารถต้านทานเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมได้ แต่หากนำไปทาเด็กหรือผู้สูงอายุ ก็ควรนำโคลนไปวิเคราะห์ดูความปลอดภัยก่อน
สำหรับเรื่องโคลนที่ชาวบ้านนำมาดื่มนั้น ตนมองถ้าน้ำดื่มจากดินที่มีค่าเป็นเบสอยู่แล้ว ก็จะช่วยล้างกรดในเลือดได้ แต่ไม่รับประกันว่าการดื่มน้ำดังกล่าวต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน จะก่อให้เกิดเป็นนิ่ว หรือตะกอนอื่น ๆ ติดอยู่ในร่างกายหรือไม่ อีกทั้งถ้าหากร่างกายได้รับความสกปรกของดินมากเกินไป ก็อาจจะทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือด อาจทำให้ตับเสีย ไตวายได้ ดังนั้น ควรดื่มน้ำสะอาดดีกว่า
อย่างไรก็ตาม สำหรับชาวบ้านที่นำโคลนไปทาตัวแล้วรู้สึกว่าผิวพรรณดีขึ้นนั้น ตนมองว่าโคลนหรือดินที่มีแร่ธาตุ ถ้านำมาพอกหน้าก็จะทำให้ผิวหน้านิ่มได้อยู่แล้ว รวมไปถึงความเชื่อของผู้ใช้โคลน ที่เชื่อว่าใช้แล้ว มันก็เป็นเหมือนจิตวิทยาที่ทำให้รู้สึกว่าใช้แล้วมันต้องดีจริง ๆ แต่ตนคิดว่าอยากให้ดูอาการในระยะยาว ซึ่งตนอยากให้นักวิจัยนำโคลนไปตรวจสอบก่อน