แนะเคล็ดลับ! การขับขี่รถยนต์ให้ปลอดภัยในช่วงเวลากลางคืน ทำอย่างไร?

7 เม.ย. 67

รายงานบางฉบับเผยว่า อุบัติเหตุดังกล่าวมีสาเหตุมาจากความเหนื่อยล้า การขาดประสบการณ์การขับขี่ตอนกลางคืนและสมรรถภาพการตอบสนองที่ลดลง ไปจนถึงความสามารถในการปรับสภาวะสายตาจากแสงไฟสะท้อนที่สาดเข้ามา

สถิติจากสมาคมความปลอดภัยบนถนนทางของหลวงของสหรัฐอเมริกา (Governors Highway Safety Association)2 ระบุว่าผู้ขับขี่ที่มีอายุน้อยหรือที่เป็นมือใหม่มีแนวโน้มที่จะประสบอุบัติเหตุจากการขับขี่ที่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตในช่วงเวลาระหว่าง 21.00 น. ถึงเที่ยงคืนมากกว่าช่วงกลางวันถึง 3 เท่า

ขณะที่ศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยทางถนน (ThaiRSC) ในประเทศไทยชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างด้านอายุของผู้ขับขี่ที่มีแนวโน้มจะประสบอุบัติเหตุบนท้องถนนในเวลากลางคืน โดยพบข้อมูลผู้เสียชีวิตสะสมจากอุบัติเหตุบนท้องถนนของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2566 ว่าผู้ขับขี่ช่วงอายุระหว่าง 35-60 ปี มีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติบนท้องถนนสูงสุด ตามด้วยผู้ขับขี่ในช่วงอายุ 25-35 ปี โดยช่วงเวลา 20.00 น. เป็นเวลาที่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนมากที่สุด ย้ำให้เห็นถึงอันตรายของการใช้รถและถนนในประเทศไทยในช่วงเวลากลางคืน

เคล็ดลับการขับขี่ในเวลากลางคืน

nightdrivingtips1

เช็ดกระจกหน้ารถด้านในให้สะอาด

คนส่วนใหญ่คิดว่าสิ่งสกปรกบนกระจกหน้ารถเกิดขึ้นแค่ด้านนอกรถเท่านั้น จึงมักเลือกทำความสะอาดกระจกรถเฉพาะด้านนอก แต่รอยนิ้วมือและฝ้าที่ก่อตัวขึ้นด้านในรถก็มีส่วนทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ลดลงได้เช่นกัน แสงจากภายนอกที่ส่องเข้ามาอาจกระทบรอยเปื้อนเหล่านี้และทำให้เกิดความพร่ามัว ดังนั้นจึงควรเตรียมผ้าไมโครไฟเบอร์ไว้ใกล้มือเพื่อใช้ทำความสะอาดกระจกหน้ารถได้อยู่เสมอ

เลือกใช้ไฟหน้าให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมในการขับขี่

หากคุณขับรถในขณะที่มีหมอกลง ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าเปิดใช้งานไฟตัดหมอกไว้แล้ว เนื่องจากไฟตัดหมอกออกแบบมาสำหรับใช้งานในสภาพอากาศเลวร้ายที่กระทบทัศนวิสัยการขับขี่ หลักการทำงานของไฟตัดหมอกคือการสาดลำแสงไปยังด้านหน้ารถเพื่อตัดทะลุหมอก ต่างจากการเปิดไฟหน้าปกติที่สาดแสงกระจายไปยังกลุ่มหมอกและอาจสะท้อนกลับสู่สายตาของผู้ขับขี่ เราไม่แนะนำให้เปิดไฟสูงเนื่องจากจะทำให้หมอกสว่างจ้าจนอาจมองไม่เห็นท้องถนน คุณมองหาสวิตช์เพื่อเปิดใช้งานไฟตัดหมอกได้บริเวณสวิตช์แผงควบคุมไฟ และควรเปิดใช้งานไฟตัดหมอกเฉพาะในขณะที่ทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลงเท่านั้น นอกจากนี้ ยังไม่แนะนำให้ใช้ไฟวิ่งกลางวันแทนไฟตัดหมอก เพราะไฟวิ่งกลางวันออกแบบมาเพื่อช่วยให้รถคันอื่นมองเห็นรถของคุณได้ชัดเจนยิ่งขึ้นขณะขับขี่ระหว่างวันเท่านั้น แต่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อทดแทนการทำงานของไฟตัดหมอก

nightdrivingtips2

อย่ามองไปที่แสงโดยตรง

ขณะขับรถตอนกลางคืน สายตาของเราจะปรับให้ชินกับความสลัวภายในห้องโดยสารและถนนด้านหน้าโดยอัตโนมัติ ดังนั้นเมื่อมีแสงสว่างจ้ากะทันหัน เช่น จากไฟหน้าของรถที่ขับสวนมา สายตาของเราจะไม่สามารถปรับสภาพและสู้แสงนั้นได้ทันทีในเวลากลางคืน ทั้งยังลดความสามารถในการมองเห็น ส่งผลถึงความอันตรายที่อาจเกิดขึ้นอีกด้วย คุณหลีกเลี่ยงอาการสายตาพร่ามัวได้ง่ายๆ โดยเลี่ยงการจ้องมองแสงตรงๆ เพื่อช่วยปกป้องทัศนวิสัยการมองเห็นของคุณในเวลากลางคืน

ระวังสัตว์บนท้องถนน

สัตว์หลายประเภทออกหากินเวลากลางคืน ด้วยสภาพแวดล้อมที่มืดอาจทำให้สังเกตเห็นได้ยากขึ้น บางครั้ง ไฟหน้าก็อาจเป็นสิ่งดึงดูดให้สัตว์บางชนิดวิ่งเข้าหารถ คุณจึงต้องระมัดระวังในการขับขี่มากขึ้น หากคุณทราบว่าพื้นที่นั้นๆ มีสัตว์ใดบ้างที่ควรระวัง จะช่วยเพิ่มโอกาสให้คุณมองเห็นสัตว์ข้างทางได้ไวขึ้น และชะลอความเร็วรถเพื่อหลีกเลี่ยงการชนได้อย่างปลอดภัย อีกข้อสังเกตง่ายๆ คือไฟรถจะสะท้อนดวงตาของสัตว์เหล่านี้ก่อนที่คุณจะเห็นสัตว์ทั้งตัว ซึ่งจะช่วยให้คุณเพิ่มความระวังได้มากขึ้น

นอกจากนี้ อีกสิ่งที่ควรทำขณะขับรถคือมองถนนให้ไกลที่สุดเท่าที่ทัศนวิสัยและสภาวะแวดล้อมจะเอื้ออำนวย ยิ่งคาดการณ์อันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ในระยะไกลเท่าไร ก็ยิ่งช่วยให้คุณมีเวลาเตรียมตัวควบคุมการขับขี่ได้ดีขึ้นเท่านั้น

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับระยะส่องสว่าง

โดยปกติแล้วไฟต่ำจะส่องสว่างได้ไกลราว 70 เมตร ขณะที่ไฟสูงจะส่องสว่างได้ไกลราว 200 เมตร ระบบไฟหน้าแบบเมทริกซ์ แอลอีดี ในรถ แร็พเตอร์ และ มาพร้อมระบบไฟสูงแบบป้องกันไฟแยงตา (Glare-Free High Beam) โดยเมื่ออยู่ในสภาวะปกติจะส่องแสงสว่างโดยใช้หลอดไฟ LED หลายดวง จึงสามารถเพิ่มแสงสว่างให้กับท้องถนนและช่วยให้มองเห็นอันตรายต่างๆ ได้ดีขึ้น

ไฟหน้ามาพร้อมระบบป้องกันไฟแยงตา

ระบบไฟหน้าที่มาพร้อมระบบไฟสูงแบบป้องกันไฟแยงตา (Glare-Free High Beam) ในรถจะทำงานร่วมกับกล้องหน้ารถเพื่อตรวจจับแสงสว่างของไฟหน้าและไฟท้ายของรถคันอื่นได้ไกลถึง 800 เมตร เมื่อระบบตรวจพบรถคันอื่น ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ขับรถสวนมาหรือรถคันหน้า ไฟแอลอีดี จะถูกหรี่ลงเฉพาะบริเวณหน้าหรือท้ายรถคันนั้น เพื่อไม่ให้แสงไฟรบกวนผู้ใช้ถนนรายอื่นจากไฟสูงแยงตา

นั่นหมายความว่า ไฟสูงจะยังคงทำงาน และมอบความสว่างให้กับพื้นที่โดยรอบ โดยไม่กระทบผู้ขับขี่รายอื่นบนท้องถนน

ระบบไฟสูงแบบป้องกันไฟแยงตา จะทำงานในเงื่อนไขต่อไปนี้
• เมื่อคุณขับรถด้วยความเร็วสูงกว่า 40 กม./ชม.
• เมื่อระบบตรวจไม่พบไฟหน้าหรือไฟท้ายของรถคันอื่นภายใน 'ระยะการมองเห็น'
• เมื่อเปิดใช้งานไฟสูงแบบป้องกันไฟแยงตาผ่านระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC และเมื่ออยู่ในสภาพถนนที่มืดจนต้องใช้ไฟสูง

ถนนทุกสายไม่ได้เป็นเส้นตรง

รถยนต์ที่มี ไฟหน้าที่มีเทคโนโลยี Dynamic Bending Lights จะทำงานเมื่อเปิดไฟต่ำ โดยใช้เซ็นเซอร์ในการตรวจวัดความเร็วและองศาการเลี้ยวของรถ เพื่อหมุนดวงไฟด้านหน้าไปตามทางโค้งได้สูงสุด 15 องศา ซึ่งเพียงพอที่จะส่องสว่างแม้บนทางโค้งหักศอก นอกจากเทคโนโลยี Dynamic Bending Lights แล้ว ในรถเจเนอเรชันใหม่ๆ ยังมาพร้อมไฟตัดหมอกแบบติดตามการเลี้ยวของพวงมาลัย (Static Cornering Lights) ที่จะทำงานในขณะที่รถกำลังเข้าโค้ง ช่วยเพิ่มความปลอดภัยเมื่อเลี้ยวรถในที่มืด

ระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ

รถที่มีระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ ระบบไฟในรถจะทำงานโดยใช้กล้องหน้ารถตรวจจับแสงสว่างไฟหน้าหรือไฟท้ายของรถคันอื่น และจะเปิดใช้ไฟสูงโดยอัตโนมัติเมื่ออยู่ในสภาวะที่จำเป็น

advertisement

Powered by อมรินทร์ นิวส์ - ยานยนต์

ยานยนต์ คุณอาจสนใจ

ข่าวยอดนิยม